ตอบข้อสงสัย ระบบขับเคลื่อนล้อหน้ากับล้อหลังต่างกันอย่างไร ?

ระบบขับเคลื่อนล้อหน้าช่วยให้การยึดเกาะถนนดีขับขี่ปลอดภัย

เวลาจะซื้อรถยนต์ไฟฟ้า (EV) สักคัน หลายคนมักพุ่งเป้าไปที่สเปกหลัก ๆ อย่าง ระยะทางวิ่ง, อัตราเร่ง 0-100 หรือความเร็วในการชาร์จ ซึ่งล้วนเป็นข้อมูลสำคัญ แต่มีอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน และส่งผลโดยตรงกับ “ฟีลลิ่ง” การขับขี่ในทุก ๆ วัน นั่นก็คือ “ระบบขับเคลื่อน” ว่าเป็นแบบล้อหน้า (FWD) หรือล้อหลัง (RWD) และถึงแม้จะพอมีประสบการณ์กับระบบขับเคลื่อนล้อหน้า-ล้อหลังจากรถยนต์สันดาปกันมาบ้าง แต่เมื่อมาอยู่ในรถ EV ความรู้สึกและสมรรถนะที่ได้กลับแตกต่างออกไปอย่างชัดเจน คำถามคือ แล้วแบบไหนที่จะเหมาะกับไลฟ์สไตล์การใช้งานของเราจริง ๆ บทความนี้จะขอมาสรุปเป็น Checklist ง่าย ๆ ว่าระบบขับเคลื่อนล้อหน้ากับล้อหลังต่างกันอย่างไร เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่า รถ EV แบบไหนคือคำตอบที่ “ใช่” สำหรับคุณ

เปรียบเทียบระบบขับเคลื่อนล้อหน้า vs ระบบขับเคลื่อนล้อหลังในรถยนต์ไฟฟ้า

ความแตกต่างพื้นฐานยังคงเดิม ระบบขับเคลื่อนล้อหน้าใช้ล้อหน้าในการ “ดึง” รถไปข้างหน้า ส่วน ระบบขับเคลื่อนล้อหลังจะใช้ล้อหลังในการ “ผลัก” รถไปข้างหน้า แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปในรถ EV คือการกระจายน้ำหนักและจุดศูนย์ถ่วง ด้วยแบตเตอรี่ที่ติดตั้งอยู่ใต้ท้องรถ ทำให้รถ EV มีจุดศูนย์ถ่วงต่ำกว่ารถสันดาปมาก ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการควบคุมและความสมดุลของตัวรถ 

ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า

  • การจัดสรรพื้นที่ยอดเยี่ยม : ด้วยการรวมมอเตอร์และระบบขับเคลื่อนไว้ที่ด้านหน้า ทำให้มีพื้นที่ห้องโดยสารกว้างขวางขึ้น และมักจะมาพร้อมกับพื้นที่เก็บของด้านหน้า (Frunk) เพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งานในชีวิตประจำวัน
  • ประสิทธิภาพการใช้พลังงาน : ระบบขับเคลื่อนล้อหน้ามีชิ้นส่วนเคลื่อนไหวน้อยกว่าและมีระยะทางส่งกำลังจากมอเตอร์ไปยังล้อสั้นกว่า ทำให้สูญเสียพลังงานน้อยลง นั่นหมายถึง ระยะทางวิ่งที่ไกลขึ้นต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับผู้ใช้รถ EV
  • การควบคุมที่คาดเดาได้ : สำหรับการขับขี่ในเมืองหรือการเดินทางทั่วไป ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ให้การควบคุมที่สะดวกสบายและคาดเดาได้ง่าย น้ำหนักของมอเตอร์ที่กดลงบนล้อหน้ายังช่วยเพิ่มการยึดเกาะขณะออกตัวบนถนนเปียกลื่นได้ดี

ระบบขับเคลื่อนล้อหลัง

  • สมดุลและการเข้าโค้งที่เหนือกว่า : การวางมอเตอร์ไว้ที่ด้านหลังและให้ล้อหน้าทำหน้าที่ “บังคับเลี้ยว” เพียงอย่างเดียว ทำให้การกระจายน้ำหนักของตัวรถสมดุลอย่างน่าทึ่ง ผลลัพธ์คือการเข้าโค้งที่เฉียบคมและเป็นธรรมชาติกว่า ไม่เกิดอาการดื้อโค้ง (Understeer) เหมือนในรถระบบขับเคลื่อนล้อหน้า
  • อัตราเร่งที่ทรงพลัง : เมื่อคุณเหยียบคันเร่งเต็มที่ น้ำหนักของตัวรถจะถูกถ่ายเทไปด้านหลังตามหลักฟิสิกส์ ซึ่งในรถระบบขับเคลื่อนล้อหลังนั่นคือการเพิ่มแรงกดและการยึดเกาะให้กับล้อขับเคลื่อนโดยตรง ทำให้สามารถถ่ายทอดพละกำลังมหาศาลของมอเตอร์ไฟฟ้าลงสู่พื้นถนนได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ปราศจากอาการ “ทอร์คสเตียร์” (Torque Steer) หรืออาการพวงมาลัยดึงขณะเร่งแซง
  • ฟีลลิ่งการขับขี่ที่เป็นธรรมชาติ : ความรู้สึกของการถูก “ผลัก” จากด้านหลัง มอบประสบการณ์ขับขี่ที่สปอร์ตและน่าตื่นเต้น เรียกได้ว่าสิ่งนี้คือ DNA ที่อยู่ในรถสปอร์ตสมรรถนะสูงมาทุกยุคทุกสมัย

ค้นหาระบบขับขี่ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผ่าน Checklist 3 ข้อนี้

1. สไตล์การขับขี่หลักของคุณเป็นแบบไหน ?

สายชิลล์ ขับในเมืองเป็นหลัก : ถ้าชีวิตประจำวันของคุณคือการเดินทางไปทำงาน, รับ-ส่งลูก หรือขับขี่ในเมืองที่การจราจรหนาแน่น ระบบขับเคลื่อนล้อหน้าอาจตอบโจทย์ได้มากกว่า ด้วยการขับขี่ที่นุ่มนวล เหมาะกับการใช้งานในเมืองได้อย่างลงตัว

สายสปอร์ต รักความสนุกหลังพวงมาลัย : สำหรับใครที่มองว่าการขับรถไม่ใช่แค่การเดินทางจากจุด A ไป B แต่คือส่วนหนึ่งของประสบการณ์ ทั้งยังชื่นชอบอัตราเร่งที่ดึงหลังติดเบาะ การเข้าโค้งที่แม่นยำ และรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับรถ ระบบขับเคลื่อนล้อหลังย่อมเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์มากกว่า

2. คุณให้ความสำคัญกับอะไรมากที่สุดระหว่าง “ประสิทธิภาพ” กับ “สมรรถนะ” ?

ประสิทธิภาพการใช้พลังงานและพื้นที่ใช้สอยสูงสุด : ถ้าคุณคือนักขับที่มองหาความคุ้มค่า และต้องการรถที่วิ่งได้ระยะทางไกลที่สุดต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง และต้องการพื้นที่ใช้สอยภายในให้เกิดประโยชน์สูงสุดสำหรับครอบครัวและสัมภาระ ระบบขับเคลื่อนล้อหน้าคือตัวเลือกที่ตอบโจทย์ด้านนี้ได้ดีกว่า

สมรรถนะ อัตราเร่งทะยาน และการควบคุมที่เฉียบคม : สำหรับผู้ขับขี่ที่ยอมแลกระยะทางวิ่งเล็กน้อยเพื่อแลกกับอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ที่ดีที่สุด ประสิทธิภาพการเกาะถนนเมื่อต้องใช้ความเร็วสูง รวมถึงต้องการความมั่นใจในการเร่งแซงที่เด็ดขาด ระบบขับเคลื่อนล้อหลังคือคำตอบที่ใช่อย่างไม่ต้องสงสัย

3. คุณต้องเผชิญกับสภาพถนนที่ท้าทายบ่อยแค่ไหน ?

ส่วนใหญ่ขับบนถนนแห้ง สภาพอากาศปกติ : ไม่ค่อยเจอฝนตกหนัก ไม่ต้องขับขึ้น-ลงทางลาดชันที่ลื่นบ่อยครั้ง ระบบขับเคลื่อนล้อหน้าจะให้ความรู้สึกที่มั่นคงมากกว่าเล็กน้อยยามอยู่หลังพวงมาลัย

เจอฝนตกหนัก ถนนลื่น หรือต้องขึ้นทางชันบ่อย ๆ : หากต้องเดินทางออกต่างจังหวัดบ่อยครั้ง ทั้งยังต้องผ่านเส้นทางที่คาดเดายาก เจอฝนตกหนักจนน้ำเจิ่งนอง หรือต้องขับขึ้น-ลงเขาที่อาจมีความลื่น สำหรับสถานการณ์เช่นนี้ ทั้งระบบขับเคลื่อนล้อหน้าและล้อหลังต่างก็มีข้อจำกัด เพราะกำลังทั้งหมดถูกส่งลงไปแค่ 2 ล้อเท่านั้น

“AWD” คำตอบที่พร้อมตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์การขับขี่

ถ้า Checklist ข้างต้นทำให้คุณรู้สึกว่า “อยากได้ข้อดีของทั้งสองระบบพร้อมกัน” โดยไม่ต้องเลือกระหว่างประสิทธิภาพของระบบขับเคลื่อนล้อหน้า และความสนุกในการขับขี่ของระบบขับเคลื่อนล้อหลัง ยังมีอีกหนึ่งระบบขับเคลื่อนที่รวมข้อดีของทั้งสองระบบเข้าด้วยกัน นั่นคือระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะ (Intelligent All-Wheel Drive: AWD) ที่รถยนต์ไฟฟ้า ZEEKR เลือกใช้

ระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะ (Intelligent AWD)

แทนที่จะมีมอเตอร์เพียงตัวเดียวที่ด้านหน้าหรือด้านหลัง ระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะ AWD มาพร้อมกับ Dual Motors หรือมอเตอร์ 2 ตัวที่ติดตั้งแยกอิสระระหว่างเพลาล้อหน้าและหลัง ทั้งสองมอเตอร์ถูกควบคุมด้วยซอฟต์แวร์อัจฉริยะที่สามารถปรับเปลี่ยนการกระจายแรงบิดระหว่างล้อหน้าและล้อหลังได้ในเสี้ยววินาที (ระดับมิลลิวินาที)

  • ขับขี่ปกติ : ระบบจะเน้นส่งกำลังไปที่ล้อคู่ใดคู่หนึ่ง เพื่อความประหยัดสูงสุดไม่ต่างจากรถระบบขับเคลื่อนล้อหน้า หรือระบบขับเคลื่อนล้อหลัง
  • ต้องการอัตราเร่ง : มอเตอร์ทั้งสองตัวจะปลดปล่อยพละกำลังพร้อมกันสู่ล้อทั้งสี่
  • เข้าโค้งหรือถนนลื่น : ระบบจะคำนวณและส่งกำลังไปยังล้อที่ต้องการการยึดเกาะมากที่สุดเพื่อสร้างเสถียรภาพสูงสุด

ทฤษฎีและข้อมูลเป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่ “ความรู้สึก” หลังพวงมาลัยคือสิ่งที่จะตัดสินทุกอย่าง ZEEKR METRO ขอเชิญคุณมาสัมผัสประสบการณ์การขับขี่ขั้นสูงสุดของเทคโนโลยี AWD ในรถไฟฟ้า ZEEKR ได้ด้วยตัวคุณเอง ได้แล้ววันนี้ที่ ZEEKR METRO ตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทย ที่เดียวครบจบทุกโซลูชัน ทั้งโชว์รูม ZEEKR ศูนย์บริการ อู่สี และอู่ซ่อมบำรุง นัดหมายก่อนเข้าชม โทร. 02-0123999 หรือ LINE Official: @zeekrmetro

ข้อมูลอ้างอิง

Social IconSocial IconSocial IconSocial Icon