หมวดหมู่: Uncategorized

  • สรุปค่าชาร์จรถไฟฟ้าในไทย อัปเดตครบทุกค่าย ทุกเครือข่าย

    สรุปค่าชาร์จรถไฟฟ้าในไทย อัปเดตครบทุกค่าย ทุกเครือข่าย

    รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ไม่ได้เป็นเพียงแค่ “กระแส” อีกต่อไป แต่กลายเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์ทั้งผู้บริหาร ครอบครัว และผู้มีวิสัยทัศน์ที่มองหาความยั่งยืนควบคู่กับความคุ้มค่า แต่การจะตัดสินใจซื้อรถ EV สักคันนั้น นอกจากเรื่องดีไซน์ สมรรถนะ และเทคโนโลยีแล้ว อีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณาคือค่าชาร์จรถไฟฟ้าที่แตกต่างกันไปตามค่ายและสถานีชาร์จ เพราะค่าใช้จ่ายนี้ถือเป็นต้นทุนหลักของการใช้งานในชีวิตประจำวัน มาดูกันว่าสถานีชาร์จแต่ละค่ายคิดราคาชาร์จรถไฟฟ้าอย่างไรบ้าง

    ทำความเข้าใจอัตราค่าชาร์จรถไฟฟ้า คิดจากอะไรบ้าง ?

    ก่อนจะไปเข้าสู่รายละเอียดราคาของแต่ละค่าย สิ่งที่ควรทำความเข้าใจคือโครงสร้างอัตราค่าชาร์จรถไฟฟ้าที่ใช้กันในประเทศไทย หากใครเคยสงสัยว่าราคาชาร์จรถไฟฟ้าคิดจากอะไร คำตอบอยู่ที่นี่แล้ว !

    คิดตามหน่วยพลังงาน (บาท/kWh)

    เป็นรูปแบบที่ใช้อย่างแพร่หลายที่สุดในประเทศไทย พบได้มากในเครื่องชาร์จ DC และ AC โดยจะกำหนดอัตราค่าบริการตามความเร็วและกำลังชาร์จ

    คิดตามเวลา (บาท/ชั่วโมง)

    พบได้ในเครื่องชาร์จ AC ที่ความเร็วต่ำกว่า เช่น AC 7.4 kW หรือ 22 kW เหมาะสำหรับการจอดชาร์จข้ามคืนหรือระหว่างทำกิจกรรมอื่น ๆ มักใช้ในคอนโดมิเนียมหรือห้างสรรพสินค้า

    ปัจจัยอื่น ๆ เพิ่มเติม

    หลายค่ายมีการกำหนดราคาค่าชาร์จรถไฟฟ้าที่แตกต่างกันระหว่างช่วง On-Peak (ช่วงไฟฟ้าแพง) และ Off-Peak (ช่วงไฟฟ้าราคาถูก) รวมถึงโปรแกรมสมาชิกหรือโปรโมชันที่อาจทำให้ได้ราคาพิเศษ

    อัตราค่าชาร์จรถไฟฟ้าในไทย ฉบับอัปเดต 2025

    เมื่อโครงสร้างราคาชาร์จรถไฟฟ้าถูกกำหนดได้จากหลายปัจจัย ตั้งแต่กำลังไฟฟ้าไปจนถึงช่วงเวลาและโปรโมชัน จึงทำให้ค่าชาร์จรถไฟฟ้าของแต่ละค่ายแตกต่างกันไป ซึ่งวันนี้ เราได้รวบรวมข้อมูลล่าสุดที่จะช่วยให้ผู้ใช้ EV เห็นภาพรวมชัดเจนขึ้น และสามารถเลือกใช้บริการได้ตรงกับความต้องการของตนเองมากที่สุด

    1. EA Anywhere

    • DC Fast Charge: เริ่มต้น 7.11 บาท/kWh
    • AC: เริ่มต้น 80 บาท/ชั่วโมง (มีแพ็กเกจตามจำนวนชั่วโมง)

    2. Elex by EGAT

    • DC 150 kW: 7.5 บาท/kWh
    • AC: 7.5 บาท/kWh

    3. EV Station PluZ

    • DC (สาขาทั่วไป): On-Peak 7.7–8.2 บาท/kWh | Off-Peak 6.6 บาท/kWh
    • DC (EV HUB): On-Peak 8.4 บาท/kWh | Off-Peak 7.1 บาท/kWh

    4. eVolt

    • DC 150 kW: 8–10 บาท/kWh
    • AC: 60 บาท/ชั่วโมง

    5. G-Charge

    • DC 160 kW: 7.7 บาท/kWh

    6. OneCharge

    • DC 60 kW : 7.5–8.0 บาท/kWh
    • DC 120 kW : 7–7.9 บาท/kWh
    • DC 360 kW : 7.9 บาท/kWh
    • DC 720 kW : 7.7 บาท/kWh
    • DC ช่วง Off-Peak : 6.0 บาท/kWh

    7. MG Supercharger

    • DC 120 kW: On-Peak 7.5 บาท/kWh | Off-Peak 6.5 บาท/kWh

    8. Onion

    • DC 60 kW: 9.5 บาท/kWh
    • AC: 60 บาท/ชั่วโมง

    9. PEA Volta

    • DC 25 kW: On-Peak 6.9 บาท/kWh | Off-Peak 5.3 บาท/kWh
    • DC 50 kW: On-Peak 8.2 บาท/kWh | Off-Peak 6.3 บาท/kWh
    • DC 120 kW: On-Peak 8.5 บาท/kWh | Off-Peak 6.5 บาท/kWh
    • DC 300/360 kW: On-Peak 9.7 บาท/kWh | Off-Peak 7.2 บาท/kWh

    10. MEA EV

    • DC 120 kW: 7.5 บาท/kWh

    11. Photon

    • DC 120 kW: On-Peak 7.4 บาท/kWh | Off-Peak 5.9 บาท/kWh

    12. ReverSharger

    • DC (ราคาเริ่มต้น): 8 บาท/kWh
    • Silver Tier: 7.2 บาท/kWh
    • Gold Tier (สะสมครบ 160 kWh): 6.4 บาท/kWh
    • Platinum Tier (สะสมครบ 360 kWh): 5.8 บาท/kWh
    • AC: 55 บาท/ชั่วโมง

    13. Shell Recharge

    • DC 360 kW: 9 บาท/kWh
    • AC: 8.5 บาท/kWh

    14. Tesla Supercharger

    • DC 250 kW : 7.17 บาท/kWh
    • AC : ฟรี

    ปัจจัยที่ผู้ขับ EV ควรคำนึงถึงในการเลือกสถานีชาร์จ

    แม้ว่าอัตราค่าชาร์จรถไฟฟ้าจะเป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจเลือกใช้บริการ แต่ก็ยังมีรายละเอียดอื่น ๆ ที่ผู้ขับขี่ควรให้ความใส่ใจด้วย ทั้งเรื่องของความสะดวก ความรวดเร็ว และจำนวนสถานีชาร์จ เพราะสิ่งเหล่านี้ถือเป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้น ก่อนเลือกสถานีชาร์จรถไฟฟ้า ควรคำนึงถึงปัจจัยต่อไปนี้

    ทำเลที่ตั้งของสถานีชาร์จ

    ควรเลือกเครือข่ายที่ครอบคลุมเส้นทางที่ใช้เป็นประจำ เพื่อให้ทุกการเดินทางเต็มไปด้วยความมั่นใจ ไม่ต้องกังวลเรื่องการวางแผนหยุดชาร์จรถระหว่างทางที่ไม่คุ้นเคย

    กำลังชาร์จ (kW)

    กำลังชาร์จของเครื่องเป็นตัวกำหนดเวลาในการเติมพลังงาน ยิ่งมีกำลังสูง รถก็จะใช้เวลาชาร์จน้อยลง เหมาะสำหรับการเดินทางไกลที่ต้องการความรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม กำลังชาร์จสูงมักมาพร้อมกับราคาค่าชาร์จรถไฟฟ้าที่สูงกว่า แนะนำให้พิจารณาสมดุลระหว่างเวลาและค่าใช้จ่ายตามความเหมาะสม

    ระบบสมาชิกหรือโปรโมชัน

    หลายค่ายมีการนำเสนอแพ็กเกจสมาชิก เช่น ReverSharger ที่ผู้ใช้ยิ่งสะสมการชาร์จมาก ก็จะยิ่งได้รับอัตราค่าชาร์จรถไฟฟ้าที่ถูกลง ช่วยลดค่าใช้จ่ายระยะยาวและเหมาะสำหรับผู้ที่ใช้ประจำ นอกจากนี้ บางค่ายยังมีโปรโมชันเฉพาะช่วงเวลาที่ทำให้การชาร์จรถคุ้มค่ากว่าที่เคย

    บริการเสริมและประสบการณ์การใช้งาน

    สถานีชาร์จบางแห่งมีเลานจ์ คาเฟ หรือพื้นที่พักผ่อนที่สะดวกสบาย รวมถึงการรองรับการชำระเงินผ่านแอปพลิเคชันที่ทันสมัยและรวดเร็ว สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ผู้ขับขี่รู้สึกว่าการรอชาร์จไม่ใช่ภาระ แต่เป็นโอกาสในการพักรถและผ่อนคลายก่อนเดินทางต่อ

    อนาคตของราคาชาร์จรถไฟฟ้าในไทย

    ในอนาคต แม้ว่าอัตราค่าชาร์จรถไฟฟ้ามีแนวโน้มปรับขึ้นตามต้นทุนพลังงานและโครงสร้างพื้นฐาน แต่การแข่งขันที่รุนแรงในตลาดรถ EV และนโยบายสนับสนุนจากทางภาครัฐ จะทำให้ราคาชาร์จรถไฟฟ้าไม่สูงเกินไปนัก ยิ่งไปกว่านั้นคือ ผู้ใช้จะได้รับประโยชน์จากการพัฒนาโครงข่ายที่ครอบคลุมและมาตรฐานบริการที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วย

    การวางแผนเรื่องค่าชาร์จรถไฟฟ้าถือเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญของการใช้ชีวิตกับ EV ในยุคใหม่ การรู้จักเลือกผู้ให้บริการและเข้าใจโครงสร้างราคาจะช่วยให้ทุกการเดินทางราบรื่น คุ้มค่า และตอบโจทย์การใช้ชีวิตที่ต้องการทั้งความสะดวกและความมั่นใจ

    หากกำลังมองหารถ EV ที่ผสานเทคโนโลยีล้ำสมัยกับดีไซน์ที่สะท้อนรสนิยมอย่างลงตัว ZEEKR X คือคำตอบสำหรับผู้ที่ชื่นชอบความคล่องตัวในเมือง ส่วนผู้ที่ต้องการความโอ่อ่า สะดวกสบายระดับ Executive Family Car ขอแนะนำ ZEEKR 009 ที่พร้อมมอบประสบการณ์ที่แตกต่างอย่างแท้จริง

    เชิญสัมผัส ทดลองขับ และค้นพบมาตรฐานใหม่ของการเดินทางได้ที่ ZEEKR METRO ตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ที่พร้อมให้คำปรึกษาและดูแลทุกขั้นตอนอย่างใกล้ชิด นัดหมายได้แล้ววันนี้ โทร. 02-012-3999 หรือ LINE Official: @zeekrmetro

    ข้อมูลอ้างอิง

    • สรุปค่าชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในไทยแต่ละค่าย อัปเดตมกราคม 2568. สืบค้นเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2568 จาก https://ev.iphonemod.net/ev-charger-rate-update-jan-2025/.
  • เช็กลิสต์เลือกยางสำหรับรถ EV ยึดเกาะดี ขับขี่เต็มสมรรถนะ

    เช็กลิสต์เลือกยางสำหรับรถ EV ยึดเกาะดี ขับขี่เต็มสมรรถนะ

    ยางรถยนต์ถือเป็นหัวใจสำคัญของสมรรถนะและความปลอดภัยในการขับขี่ โดยเฉพาะกับรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่มีน้ำหนักมากขึ้นและแรงบิดสูงตั้งแต่เริ่มออกตัว การเลือกใช้ยางสำหรับรถ EV ที่เหมาะสม และการดูแลรักษาอย่างถูกวิธี จึงไม่ใช่เรื่องรอง แต่เป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการขับขี่ที่นุ่มนวลปลอดภัย ทั้งยังประหยัดพลังงาน พร้อมช่วยให้การวางแผนการชาร์จส่งผลต่อการใช้งานระยะยาวให้เป็นไปอย่างราบรื่น

    ยางทั่วไปใช้กับรถยนต์ EV ได้ไหม ?

    ก่อนจะเจาะลึกไปถึงคุณสมบัติของยางรถยนต์ EV โดยเฉพาะ หลายคนคงสงสัยว่า “ยางรถยนต์ธรรมดาที่ใช้ในรถยนต์สันดาปทั่วไป สามารถนำมาใช้กับรถ EV ได้หรือไม่ ?”

    คำตอบคือ “ได้ แต่ไม่แนะนำอย่างยิ่ง” เพราะการนำยางรถทั่วไปมาใช้กับรถ EV จะทำให้การขับขี่ไม่ได้ประสิทธิภาพสูงสุดเท่าที่ควร แถมยังอาจลดทอนสมรรถนะและเพิ่มความเสี่ยงด้านความปลอดภัยในระยะยาวอีกด้วย การเลือกใช้ยางที่ออกแบบมาเพื่อรถ EV โดยเฉพาะจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เพื่อให้รถของคุณทำงานได้อย่างเต็มศักยภาพ

    คุณสมบัติที่ทำให้ยางรถยนต์ EV แตกต่างจากยางรถยนต์ทั่วไป

    หากมองผิวเผิน คุณอาจไม่สามารถแยกยางรถยนต์ EV กับยางธรรมดาได้ด้วยตาเปล่า แต่ในความเป็นจริงแล้ว ยางสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าถูกออกแบบมาโดยคำนึงถึงลักษณะเฉพาะของรถยนต์ไฟฟ้าเป็นหลัก จึงมีคุณสมบัติเด่น ดังนี้

    • รองรับน้ำหนักได้เยอะ เนื่องจากแบตเตอรี่รถไฟฟ้ามีขนาดใหญ่และน้ำหนักมาก ยางรถยนต์จึงต้องมีความแข็งแรงเป็นพิเศษ เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่
    • รับแรงบิดสูงได้ตั้งแต่เริ่มออกตัว จุดเด่นของรถ EV คือมีแรงบิดสูงทันทีที่เริ่มออกตัว (Instant Torque) ซึ่งยางรถยนต์ทั่วไปอาจไม่สามารถรองรับแรงบิดนี้ได้ ทำให้ยางสึกหรอเร็วและลดทอนความสามารถในการยึดเกาะถนนลง
    • ก่อให้เกิดเสียงรบกวนน้อย เพราะรถ EV ขับเคลื่อนได้แบบไร้เสียงเครื่องยนต์ ยางสำหรับรถ EV จึงถูกพัฒนาด้วยเทคโนโลยีพิเศษ เช่น การใช้วัสดุดูดซับเสียง หรือการออกแบบลายดอกยางที่ช่วยลดเสียงรบกวนในห้องโดยสาร เพื่อคงความเงียบในการใช้งานรถยนต์ 
    • ประหยัดพลังงาน ยางรถ EV ใช้ส่วนผสมของเนื้อยางสูตรพิเศษ มีคุณสมบัติช่วยลดแรงเสียดทาน ทำให้พลังงานน้อยลงในการขับเคลื่อน จึงวิ่งได้ไกลขึ้นต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง
    • ความทนทานสูง ด้วยลักษณะเด่นและรูปแบบการขับขี่ของรถ EV ยางที่ออกแบบมาโดยเฉพาะจึงต้องมีความทนทานสูงเป็นพิเศษ เพื่อให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนานและคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น

    คู่มือซื้อยางสำหรับรถยนต์ EV ฉบับมืออาชีพ

    เมื่อเข้าใจความสำคัญของยางรถยนต์ EV แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการเลือกซื้อยางให้เหมาะสมกับรถและพฤติกรรมการขับขี่ของคุณ โดยปัจจัยที่ควรให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษ ได้แก่

    1.ขนาดและประเภทยางที่แนะนำโดยผู้ผลิต

    ปัจจัยพื้นฐานในการเลือกยางรถยนต์ไฟฟ้า คือการตรวจสอบขนาดและประเภทของยางที่ผู้ผลิตรถยนต์ EV ของคุณแนะนำ ส่วนใหญ่ขนาดและประเภทยางรถยนต์ที่แนะนำจะระบุไว้ที่ขอบประตูฝั่งคนขับ หรือในคู่มือรถ การเลือกให้ถูกต้องจะช่วยให้รถ EV ทำงานได้เต็มสมรรถนะและขับขี่ได้อย่างปลอดภัยยิ่งขึ้น

    2. ดัชนีความเร็ว (Speed Index) และดัชนีรับน้ำหนัก (Load Index)

    ดัชนีรับน้ำหนัก (Load Index) ของยางรถยนต์ต้องสูงพอที่จะรองรับน้ำหนักของรถและแบตเตอรี่ได้ ส่วนดัชนีความเร็ว (Speed Index) ควรเป็นไปตามที่ผู้ผลิตกำหนด เพื่อให้ยางสามารถรองรับความเร็วสูงสุดของรถได้ปลอดภัย ลดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุ

    3. ค่าแรงเสียดทานและประสิทธิภาพการยึดเกาะถนน (Grip)

    ประสิทธิภาพการยึดเกาะถนนเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามในการเลือกยางสำหรับรถ EV โดยเฉพาะในสภาพถนนที่เปียกหรือลื่น ควรเลือกยางที่มีค่า Traction Grade และ Treadwear Grade ที่ดี ซึ่งจะช่วยให้คุณขับขี่ได้อย่างมั่นใจในทุกสภาพอากาศและทุกพื้นที่

    4. อายุการใช้งานและคุณภาพวัสดุ

    เป็นที่ทราบกันดีในหมู่ผู้ใช้รถว่ายางรถยนต์ต้องเปลี่ยนตามระยะเวลาที่กำหนด แต่การเลือกยางที่ผลิตจากวัสดุคุณภาพดีและเหมาะสมกับรถ EV จะช่วยให้ยางมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า ไม่สึกหรอหรือบิดตัวก่อนเวลาที่ระบุไว้ ช่วยให้คุณประหยัดค่าใช้กายได้ในระยะยาว

    5. การรับประกันและบริการหลังการขาย

    สุดท้าย คือการเลือกซื้อยางรถยนต์ EV จากแบรนด์ที่น่าเชื่อถือและมีศูนย์บริการที่ได้มาตรฐาน จะช่วยให้คุณอุ่นใจในเรื่องการรับประกันและบริการหลังการขาย อีกทั้งหากเกิดปัญหาขึ้น คุณจะได้รับการดูแลและแก้ไขอย่างถูกต้อง

    วิธีดูแลยางรถยนต์ EV ใช้งานปลอดภัยได้อย่างยาวนาน

    การเลือกยางที่เหมาะสมกับรถยนต์ไฟฟ้าเป็นเพียงจุดเริ่มต้น เพราะการดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอต่างหากที่จะช่วยให้ยางของคุณมีอายุการใช้งานที่ยาวนานและคงประสิทธิภาพสูงสุด นี่คือ 6 วิธีง่าย ๆ ในการถนอมยางรถยนต์ที่คุณสามารถทำได้ด้วยตัวเอง

    1. ตรวจเช็กแรงดันลมยางเป็นประจำ

    ควรเช็กลมยางอย่างน้อยเดือนละครั้ง หรือก่อนเดินทางไกล เพื่อให้มั่นใจว่าลมยางรถของคุณอยู่ในระดับที่ผู้ผลิตแนะนำ ช่วยลดการสึกหรอที่ไม่สม่ำเสมอ ประหยัดพลังงาน และช่วยให้รถมีสมรรถนะการขับขี่ที่ดีขึ้น

    2. ตรวจสอบสภาพดอกยางและรอยสึกหรอ

    หมั่นสังเกตสภาพยางรถ EV อยู่เสมอว่าดอกยางสึกจนถึงระดับสะพานยางหรือไม่ เพราะถ้าดอกยางสึกถึงสะพานยาง แสดงว่าถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนยางใหม่ นอกจากนี้ ควรตรวจดูรอยแตกหรือรอยบวมที่อาจเกิดขึ้นกับแก้มยางเพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุด้วย

    3. หมุนยางตามระยะทางเพื่อให้การสึกหรอสม่ำเสมอ

    การสลับยางทุก ๆ 10,000-15,000 กิโลเมตร จะช่วยให้ยางทุกเส้นมีการสึกหรอที่สม่ำเสมอกัน ซึ่งจะช่วยยืดอายุการใช้งานของยางได้นานขึ้น ไม่ทำให้ยางเส้นใดเส้นหนึ่งสึกหรอมากเกินไป

    4. หลีกเลี่ยงการบรรทุกเกินพิกัด

    การบรรทุกน้ำหนักเกินกว่าที่ยางรถยนต์ EV และตัวรถกำหนด จะทำให้ยางรถต้องรับภาระหนักเกินความจำเป็น ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อโครงสร้างยางภายใน ส่งผลให้ยางรถยนต์อาจร้อนจัดและมีความเสี่ยงที่ยางจะระเบิดได้ง่ายขึ้น อีกทั้งยังทำให้ยางเสียรูปทรง ทำให้ประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนนลดลง

    5. ปรับพฤติกรรมการขับขี่ หลีกเลี่ยงการเร่งแรงบ่อยหรือเบรกหนัก

    การเร่งความเร็วอย่างรุนแรงหรือการเบรกกะทันหันบ่อย ๆ จะทำให้ยางเสียดสีกับพื้นผิวถนนอย่างรุนแรง ส่งผลให้ดอกยางสึกหรออย่างรวดเร็วโดยไม่จำเป็น ส่วนการขับรถด้วยความเร็วสูงเป็นเวลานาน อาจทำให้ยางเกิดความร้อนสะสม ซึ่งจะไปลดทอนความทนทานของยางลงได้เช่นกัน

    6. เก็บรถในที่ร่ม ป้องกันแสงแดดทำให้ยางรถ EV เสื่อมสภาพ

    รังสียูวี (UV) จากแสงแดดทำให้ยางแข็งตัวและเกิดรอยแตกลายงาได้ง่ายขึ้น ซึ่งเป็นการลดความยืดหยุ่นและความทนทานของยาง หากเป็นไปได้ ควรจอดรถในที่ร่มหรือโรงจอดรถเพื่อป้องกันไม่ให้ยางสัมผัสกับแสงแดดเป็นเวลานานจะเป็นการดีที่สุด

    เพื่อให้ยางรถยนต์ EV ของคุณทำงานเต็มประสิทธิภาพและใช้งานได้ปลอดภัยยาวนาน สามารถนำรถเข้ามาตรวจสภาพและเช็กระยะได้ที่ ZEEKR METRO เรามีบริการที่ตอบโจทย์ครอบคลุมทุกความต้องการของผู้ใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า ตลอดจนบริการเปลี่ยนยางรถไฟฟ้า พร้อมคำแนะนำโดยทีมช่างมืออาชีพในการเลือกยางที่เหมาะสมกับรถไฟฟ้า ZEEKR ทุกรุ่น รับคำแนะนำด้านการใช้งาน เช็กราคาอะไหล่ศูนย์ ZEEKR นัดหมายเช็กสภาพและซ่อมบำรุงรถได้ที่ โทร. 02-012-3999 หรือ LINE Official: @zeekrmetro

    ข้อมูลอ้างอิง

    • ไขข้อข้องใจ! ยางรถยนต์ธรรมดาใส่กับรถ EV ได้หรือไม่?. สืบค้นเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2568 จาก https://dunloptire.co.th/16095.html
    • วิธีเลือกและดูแลยางรถไฟฟ้า (EV) จาก BRIDGESTONE. สืบค้นเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2568 จาก https://www.bridgestone.co.th/th/tire-type/bev-car-tires
  • ตอบข้อสงสัย ระบบขับเคลื่อนล้อหน้ากับล้อหลังต่างกันอย่างไร ?

    ตอบข้อสงสัย ระบบขับเคลื่อนล้อหน้ากับล้อหลังต่างกันอย่างไร ?

    เวลาจะซื้อรถยนต์ไฟฟ้า (EV) สักคัน หลายคนมักพุ่งเป้าไปที่สเปกหลัก ๆ อย่าง ระยะทางวิ่ง, อัตราเร่ง 0-100 หรือความเร็วในการชาร์จ ซึ่งล้วนเป็นข้อมูลสำคัญ แต่มีอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน และส่งผลโดยตรงกับ “ฟีลลิ่ง” การขับขี่ในทุก ๆ วัน นั่นก็คือ “ระบบขับเคลื่อน” ว่าเป็นแบบล้อหน้า (FWD) หรือล้อหลัง (RWD) และถึงแม้จะพอมีประสบการณ์กับระบบขับเคลื่อนล้อหน้า-ล้อหลังจากรถยนต์สันดาปกันมาบ้าง แต่เมื่อมาอยู่ในรถ EV ความรู้สึกและสมรรถนะที่ได้กลับแตกต่างออกไปอย่างชัดเจน คำถามคือ แล้วแบบไหนที่จะเหมาะกับไลฟ์สไตล์การใช้งานของเราจริง ๆ บทความนี้จะขอมาสรุปเป็น Checklist ง่าย ๆ ว่าระบบขับเคลื่อนล้อหน้ากับล้อหลังต่างกันอย่างไร เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่า รถ EV แบบไหนคือคำตอบที่ “ใช่” สำหรับคุณ

    เปรียบเทียบระบบขับเคลื่อนล้อหน้า vs ระบบขับเคลื่อนล้อหลังในรถยนต์ไฟฟ้า

    ความแตกต่างพื้นฐานยังคงเดิม ระบบขับเคลื่อนล้อหน้าใช้ล้อหน้าในการ “ดึง” รถไปข้างหน้า ส่วน ระบบขับเคลื่อนล้อหลังจะใช้ล้อหลังในการ “ผลัก” รถไปข้างหน้า แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปในรถ EV คือการกระจายน้ำหนักและจุดศูนย์ถ่วง ด้วยแบตเตอรี่ที่ติดตั้งอยู่ใต้ท้องรถ ทำให้รถ EV มีจุดศูนย์ถ่วงต่ำกว่ารถสันดาปมาก ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการควบคุมและความสมดุลของตัวรถ 

    ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า

    • การจัดสรรพื้นที่ยอดเยี่ยม : ด้วยการรวมมอเตอร์และระบบขับเคลื่อนไว้ที่ด้านหน้า ทำให้มีพื้นที่ห้องโดยสารกว้างขวางขึ้น และมักจะมาพร้อมกับพื้นที่เก็บของด้านหน้า (Frunk) เพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งานในชีวิตประจำวัน
    • ประสิทธิภาพการใช้พลังงาน : ระบบขับเคลื่อนล้อหน้ามีชิ้นส่วนเคลื่อนไหวน้อยกว่าและมีระยะทางส่งกำลังจากมอเตอร์ไปยังล้อสั้นกว่า ทำให้สูญเสียพลังงานน้อยลง นั่นหมายถึง ระยะทางวิ่งที่ไกลขึ้นต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับผู้ใช้รถ EV
    • การควบคุมที่คาดเดาได้ : สำหรับการขับขี่ในเมืองหรือการเดินทางทั่วไป ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ให้การควบคุมที่สะดวกสบายและคาดเดาได้ง่าย น้ำหนักของมอเตอร์ที่กดลงบนล้อหน้ายังช่วยเพิ่มการยึดเกาะขณะออกตัวบนถนนเปียกลื่นได้ดี

    ระบบขับเคลื่อนล้อหลัง

    • สมดุลและการเข้าโค้งที่เหนือกว่า : การวางมอเตอร์ไว้ที่ด้านหลังและให้ล้อหน้าทำหน้าที่ “บังคับเลี้ยว” เพียงอย่างเดียว ทำให้การกระจายน้ำหนักของตัวรถสมดุลอย่างน่าทึ่ง ผลลัพธ์คือการเข้าโค้งที่เฉียบคมและเป็นธรรมชาติกว่า ไม่เกิดอาการดื้อโค้ง (Understeer) เหมือนในรถระบบขับเคลื่อนล้อหน้า
    • อัตราเร่งที่ทรงพลัง : เมื่อคุณเหยียบคันเร่งเต็มที่ น้ำหนักของตัวรถจะถูกถ่ายเทไปด้านหลังตามหลักฟิสิกส์ ซึ่งในรถระบบขับเคลื่อนล้อหลังนั่นคือการเพิ่มแรงกดและการยึดเกาะให้กับล้อขับเคลื่อนโดยตรง ทำให้สามารถถ่ายทอดพละกำลังมหาศาลของมอเตอร์ไฟฟ้าลงสู่พื้นถนนได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ปราศจากอาการ “ทอร์คสเตียร์” (Torque Steer) หรืออาการพวงมาลัยดึงขณะเร่งแซง
    • ฟีลลิ่งการขับขี่ที่เป็นธรรมชาติ : ความรู้สึกของการถูก “ผลัก” จากด้านหลัง มอบประสบการณ์ขับขี่ที่สปอร์ตและน่าตื่นเต้น เรียกได้ว่าสิ่งนี้คือ DNA ที่อยู่ในรถสปอร์ตสมรรถนะสูงมาทุกยุคทุกสมัย

    ค้นหาระบบขับขี่ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผ่าน Checklist 3 ข้อนี้

    1. สไตล์การขับขี่หลักของคุณเป็นแบบไหน ?

    สายชิลล์ ขับในเมืองเป็นหลัก : ถ้าชีวิตประจำวันของคุณคือการเดินทางไปทำงาน, รับ-ส่งลูก หรือขับขี่ในเมืองที่การจราจรหนาแน่น ระบบขับเคลื่อนล้อหน้าอาจตอบโจทย์ได้มากกว่า ด้วยการขับขี่ที่นุ่มนวล เหมาะกับการใช้งานในเมืองได้อย่างลงตัว

    สายสปอร์ต รักความสนุกหลังพวงมาลัย : สำหรับใครที่มองว่าการขับรถไม่ใช่แค่การเดินทางจากจุด A ไป B แต่คือส่วนหนึ่งของประสบการณ์ ทั้งยังชื่นชอบอัตราเร่งที่ดึงหลังติดเบาะ การเข้าโค้งที่แม่นยำ และรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับรถ ระบบขับเคลื่อนล้อหลังย่อมเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์มากกว่า

    2. คุณให้ความสำคัญกับอะไรมากที่สุดระหว่าง “ประสิทธิภาพ” กับ “สมรรถนะ” ?

    ประสิทธิภาพการใช้พลังงานและพื้นที่ใช้สอยสูงสุด : ถ้าคุณคือนักขับที่มองหาความคุ้มค่า และต้องการรถที่วิ่งได้ระยะทางไกลที่สุดต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง และต้องการพื้นที่ใช้สอยภายในให้เกิดประโยชน์สูงสุดสำหรับครอบครัวและสัมภาระ ระบบขับเคลื่อนล้อหน้าคือตัวเลือกที่ตอบโจทย์ด้านนี้ได้ดีกว่า

    สมรรถนะ อัตราเร่งทะยาน และการควบคุมที่เฉียบคม : สำหรับผู้ขับขี่ที่ยอมแลกระยะทางวิ่งเล็กน้อยเพื่อแลกกับอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ที่ดีที่สุด ประสิทธิภาพการเกาะถนนเมื่อต้องใช้ความเร็วสูง รวมถึงต้องการความมั่นใจในการเร่งแซงที่เด็ดขาด ระบบขับเคลื่อนล้อหลังคือคำตอบที่ใช่อย่างไม่ต้องสงสัย

    3. คุณต้องเผชิญกับสภาพถนนที่ท้าทายบ่อยแค่ไหน ?

    ส่วนใหญ่ขับบนถนนแห้ง สภาพอากาศปกติ : ไม่ค่อยเจอฝนตกหนัก ไม่ต้องขับขึ้น-ลงทางลาดชันที่ลื่นบ่อยครั้ง ระบบขับเคลื่อนล้อหน้าจะให้ความรู้สึกที่มั่นคงมากกว่าเล็กน้อยยามอยู่หลังพวงมาลัย

    เจอฝนตกหนัก ถนนลื่น หรือต้องขึ้นทางชันบ่อย ๆ : หากต้องเดินทางออกต่างจังหวัดบ่อยครั้ง ทั้งยังต้องผ่านเส้นทางที่คาดเดายาก เจอฝนตกหนักจนน้ำเจิ่งนอง หรือต้องขับขึ้น-ลงเขาที่อาจมีความลื่น สำหรับสถานการณ์เช่นนี้ ทั้งระบบขับเคลื่อนล้อหน้าและล้อหลังต่างก็มีข้อจำกัด เพราะกำลังทั้งหมดถูกส่งลงไปแค่ 2 ล้อเท่านั้น

    “AWD” คำตอบที่พร้อมตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์การขับขี่

    ถ้า Checklist ข้างต้นทำให้คุณรู้สึกว่า “อยากได้ข้อดีของทั้งสองระบบพร้อมกัน” โดยไม่ต้องเลือกระหว่างประสิทธิภาพของระบบขับเคลื่อนล้อหน้า และความสนุกในการขับขี่ของระบบขับเคลื่อนล้อหลัง ยังมีอีกหนึ่งระบบขับเคลื่อนที่รวมข้อดีของทั้งสองระบบเข้าด้วยกัน นั่นคือระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะ (Intelligent All-Wheel Drive: AWD) ที่รถยนต์ไฟฟ้า ZEEKR เลือกใช้

    ระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะ (Intelligent AWD)

    แทนที่จะมีมอเตอร์เพียงตัวเดียวที่ด้านหน้าหรือด้านหลัง ระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะ AWD มาพร้อมกับ Dual Motors หรือมอเตอร์ 2 ตัวที่ติดตั้งแยกอิสระระหว่างเพลาล้อหน้าและหลัง ทั้งสองมอเตอร์ถูกควบคุมด้วยซอฟต์แวร์อัจฉริยะที่สามารถปรับเปลี่ยนการกระจายแรงบิดระหว่างล้อหน้าและล้อหลังได้ในเสี้ยววินาที (ระดับมิลลิวินาที)

    • ขับขี่ปกติ : ระบบจะเน้นส่งกำลังไปที่ล้อคู่ใดคู่หนึ่ง เพื่อความประหยัดสูงสุดไม่ต่างจากรถระบบขับเคลื่อนล้อหน้า หรือระบบขับเคลื่อนล้อหลัง
    • ต้องการอัตราเร่ง : มอเตอร์ทั้งสองตัวจะปลดปล่อยพละกำลังพร้อมกันสู่ล้อทั้งสี่
    • เข้าโค้งหรือถนนลื่น : ระบบจะคำนวณและส่งกำลังไปยังล้อที่ต้องการการยึดเกาะมากที่สุดเพื่อสร้างเสถียรภาพสูงสุด

    ทฤษฎีและข้อมูลเป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่ “ความรู้สึก” หลังพวงมาลัยคือสิ่งที่จะตัดสินทุกอย่าง ZEEKR METRO ขอเชิญคุณมาสัมผัสประสบการณ์การขับขี่ขั้นสูงสุดของเทคโนโลยี AWD ในรถไฟฟ้า ZEEKR ได้ด้วยตัวคุณเอง ได้แล้ววันนี้ที่ ZEEKR METRO ตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทย ที่เดียวครบจบทุกโซลูชัน ทั้งโชว์รูม ZEEKR ศูนย์บริการ อู่สี และอู่ซ่อมบำรุง นัดหมายก่อนเข้าชม โทร. 02-0123999 หรือ LINE Official: @zeekrmetro

    ข้อมูลอ้างอิง

  • Euro NCAP และ ANCAP คืออะไร ? อยากซื้อรถ EV ต้องอ่าน

    Euro NCAP และ ANCAP คืออะไร ? อยากซื้อรถ EV ต้องอ่าน

    เมื่อพูดถึงการเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้าระดับพรีเมียม ไม่ว่าจะเพื่อการใช้งานส่วนตัวของผู้บริหาร ครอบครัว หรือผู้ที่ใส่ใจในเทคโนโลยีแห่งอนาคต ปัจจัยสำคัญที่ไม่แพ้เรื่องของดีไซน์และสมรรถนะคือ “มาตรฐานความปลอดภัย” โดยหนึ่งในตัวชี้วัดที่ทั่วโลกให้การยอมรับ คือ คะแนน Euro NCAP และ ANCAP ซึ่งเป็นเกณฑ์การทดสอบที่สะท้อนถึงความปลอดภัยของรถยนต์ในสถานการณ์จริงอย่างรอบด้าน

    มาทำความเข้าใจไปพร้อมกันว่า Euro NCAP คืออะไร แตกต่างจาก ANCAP อย่างไร และทำไมผู้ที่กำลังมองหารถยนต์ไฟฟ้าควรให้ความสำคัญกับคะแนนเหล่านี้ก่อนตัดสินใจเลือกซื้อ

    Euro NCAP คืออะไร ? รู้จักมาตรฐานทดสอบความปลอดภัยจากยุโรป

    Euro NCAP ย่อมาจาก European New Car Assessment Programme หรือ โปรแกรมการประเมินรถยนต์ใหม่ตามมาตรฐานยุโรป ก่อตั้งขึ้นในปี 1997 โดยคณะกรรมาธิการยุโรปและองค์กรด้านความปลอดภัยหลายฝ่าย มีจุดประสงค์เพื่อสร้างเกณฑ์กลางในการวัดระดับความปลอดภัยของรถยนต์รุ่นใหม่ก่อนเข้าสู่ตลาด

    สิ่งที่ทำให้คะแนน Euro NCAP มีความน่าเชื่อถือสูง คือการทดสอบที่อ้างอิงจากสถานการณ์จริงของอุบัติเหตุในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น

    • การชนด้านหน้าแบบ Offset Frontal Test
    • การชนด้านข้างทั้งจากรถยนต์และเสา (Side & Pole Impact Test)
    • การพลิกคว่ำและผลกระทบต่อโครงสร้างตัวถัง
    • การทดสอบการปกป้องผู้ใช้ถนนรายอื่น เช่น คนเดินถนน เด็ก และนักปั่นจักรยาน

    ทั้งนี้ ผลลัพธ์ของคะแนน Euro NCAP จะถูกจัดอันดับด้วยระบบ “ดาว” ตั้งแต่ 0–5 ดาว โดยจำนวนดาวยิ่งมาก ยิ่งหมายถึงความปลอดภัยที่สูงขึ้น

    ANCAP คืออะไร ? เข้าใจมาตรฐานคู่ขนานจากออสตราเลเซีย

    ในขณะที่ฝั่งยุโรปมีคะแนน Euro NCAP ฝั่งออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ก็มีมาตรฐานคู่ขนานในชื่อว่า ANCAP หรือ Australasian New Car Assessment Program ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 1993 และอยู่ภายใต้เครือข่าย Global NCAP เช่นเดียวกับ Euro NCAP โดยทำงานร่วมกันเพื่อสร้างมาตรฐานความปลอดภัยระดับโลก

    ตั้งแต่ปี 1999 เป็นต้นมา Euro NCAP และ ANCAP ได้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลและเกณฑ์การทดสอบอย่างใกล้ชิด รถยนต์รุ่นใหม่ที่ผ่านการทดสอบในยุโรปสามารถโอนผลคะแนนไปยังตลาดออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ได้ทันที สิ่งนี้ช่วยให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่ามาตรฐานที่ใช้ไม่แตกต่างกัน แม้จะอยู่คนละทวีปก็ตาม

    เกณฑ์การทดสอบของ Euro NCAP และ ANCAP

    ไม่ว่าจะเป็นคะแนน Euro NCAP หรือ ANCAP ต่างก็อ้างอิงเกณฑ์การทดสอบที่ครอบคลุมทั้งผู้โดยสารและผู้ใช้ถนนรอบข้าง โดยสามารถแบ่งได้เป็น 4 ด้าน ได้แก่

    1. การปกป้องผู้โดยสารผู้ใหญ่ (Adult Occupant Protection)

    การวัดระดับความปลอดภัยของผู้ขับขี่และผู้โดยสารเมื่อเกิดการชน เช่น แรงกระแทกที่ศีรษะ หน้าอก และขา รวมถึงความแข็งแรงของโครงสร้างห้องโดยสาร

    2. การปกป้องผู้โดยสารเด็ก (Child Occupant Protection)

    การประเมินการปกป้องผู้โดยสารที่เป็นเด็ก ทั้งการติดตั้งเบาะนิรภัย ISOFIX การรองรับอุปกรณ์ความปลอดภัยเฉพาะสำหรับเด็ก และความมั่นคงของเบาะเมื่อเกิดอุบัติเหตุ

    3. การปกป้องผู้ใช้ถนนที่เปราะบาง (Vulnerable Road Users Protection)

    เน้นการลดความรุนแรงของการชนต่อคนเดินถนนและนักปั่นจักรยาน เช่น การออกแบบฝากระโปรงรถให้ดูดซับแรงกระแทก หรือระบบตรวจจับคนเดินถนน (Pedestrian Detection)

    4. ระบบช่วยเหลือการขับขี่ (Safety Assist Technologies)

    การตรวจสอบว่ารถมีการติดตั้งเทคโนโลยีที่ช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุหรือไม่ เช่น

    • ระบบเบรกอัตโนมัติฉุกเฉิน (Autonomous Emergency Braking – AEB)
    • ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (Electronic Stability Control – ESC)
    • ระบบแจ้งเตือนเมื่อรถออกนอกเลน (Lane Departure Warning – LDW)
    • ระบบช่วยควบคุมความเร็ว (Speed Assist System – SAS)

    เหตุผลที่คะแนน Euro NCAP และ ANCAP สำคัญต่อผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า

    สำหรับผู้ที่กำลังสนใจรถไฟฟ้าระดับพรีเมียม แนะนำว่าอย่ามองข้ามคะแนน Euro NCAP และ ANCAP เด็ดขาด ด้วยเหตุผลต่อไปนี้

    ช่วยสร้างความมั่นใจให้ผู้โดยสารทุกช่วงวัย

    ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ หรือผู้สูงอายุ คะแนน Euro NCAP และ ANCAP ที่สูง คือการยืนยันได้ในระดับหนึ่งว่าทุกชีวิตในห้องโดยสารจะได้รับการปกป้องตลอดทุกการเดินทาง

    สะท้อนคุณภาพของผู้ผลิตรถยนต์

    ค่ายที่สามารถทำคะแนนระดับ 5 ดาวได้อย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นถึงการลงทุนด้านการวิจัยและเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยขั้นสูง

    เพิ่มมูลค่าการลงทุนในระยะยาว

    รถยนต์ที่ผ่านมาตรฐานสูงมักมีมูลค่าขายต่อที่ดีกว่า เพราะผู้ซื้อในตลาดมือสองล้วนให้ความสำคัญกับประวัติการทดสอบความปลอดภัย

    ตอบโจทย์กฎหมายและมาตรฐานสากล

    หลายประเทศทั่วโลก รวมถึงไทย เริ่มบังคับใช้มาตรการความปลอดภัยที่เข้มงวดขึ้น รถยนต์ที่ผ่านการรับรองจาก Euro NCAP และ ANCAP ในระดับสูงจึงช่วยให้ผู้ใช้มั่นใจว่า รถที่ตนเองเลือกซื้อได้รับการรับรองมาตรฐานสากล ไม่ต้องกังวลเรื่องการขาดอุปกรณ์ความปลอดภัย หรือมาตรฐานที่อาจทำให้เกิดความเสี่ยงต่อชีวิตและการใช้งานในระยะยาว

    คะแนน Euro NCAP ต้องผ่านเกณฑ์การทดสอบสมรรถภาพรถอย่างเข้มงวด

    ความแตกต่างของคะแนนในแต่ละภูมิภาค

    อีกสิ่งหนึ่งที่ผู้ใช้ควรรู้ คือ ในบางกรณี รถรุ่นเดียวกันอาจได้รับคะแนน Euro NCAP แตกต่างจากคะแนน ANCAP ทั้งที่ผ่านการทดสอบจากเครือข่ายเดียวกัน โดยปัจจัยหลักมาจากเรื่องอุปกรณ์ความปลอดภัยที่ถูกจัดให้เป็นมาตรฐานในบางตลาด แต่กลับเป็นอุปกรณ์เสริมสำหรับอีกตลาดหนึ่ง ตัวอย่างเช่น

    • ระบบเบรกอัตโนมัติ (AEB) ที่อาจรวมอยู่ในรถที่จำหน่ายในยุโรป แต่ในบางรุ่นที่วางขายในออสเตรเลียกลับถูกจัดเป็นออปชันเสริม
    • จำนวนถุงลมนิรภัยที่แตกต่างกันตามสเปกที่ผลิตเพื่อวางจำหน่ายในภูมิภาคนั้น

    คะแนน Euro NCAP และ ANCAP คือมาตรฐานที่สะท้อนถึงความใส่ใจในชีวิตของผู้โดยสารและคุณภาพการออกแบบของผู้ผลิต การเลือกรถยนต์ไฟฟ้าที่ผ่านการรับรองคะแนนสูงสุดจึงเปรียบเสมือนการลงทุนในความมั่นใจทุกครั้งที่ได้ขับขี่ 

    สำหรับผู้ที่กำลังมองหารถยนต์ไฟฟ้าพรีเมียมที่รวมทั้งดีไซน์ทันสมัย เทคโนโลยีล้ำหน้า และมาตรฐานความปลอดภัยระดับโลก ZEEKR X คือสเปกที่ตอบโจทย์ทั้งด้านสมรรถนะและความหรูหราเหนือระดับ พร้อมระบบความปลอดภัยที่ผ่านการออกแบบมาเพื่อมอบความมั่นใจสูงสุดให้กับทุกการเดินทาง

    ค้นพบประสบการณ์การขับขี่แห่งอนาคตได้แล้ววันนี้ที่ ZEEKR METRO ตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทย ที่เดียวครบจบทุกโซลูชัน ทั้งโชว์รูม ศูนย์บริการ อู่สี และอู่ซ่อมบำรุง นัดหมายก่อนเข้าชม โทร. 02-012-3999 หรือ LINE Official: @zeekrmetro

    ข้อมูลอ้างอิง

    • Euro NCAP | The European New Car Assessment Programme. สืบค้นเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2568 จาก https://www.euroncap.com/en. 
    • About ANCAP Safety | Vehicle Safety Ratings | Crash Test Results. สืบค้นเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2568 จาก https://www.ancap.com.au/about-ancap. 
  • มาตรฐานระยะทางรถไฟฟ้า WLTP, NEDC, CLTC และ EPA คืออะไร ?

    มาตรฐานระยะทางรถไฟฟ้า WLTP, NEDC, CLTC และ EPA คืออะไร ?

    ในการพิจารณาเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้า (EV) สักคัน หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ผู้ใช้งานมือใหม่ต้องเข้าใจคือ ‘มาตรฐานระยะทางรถไฟฟ้า’ เพราะตัวเลขเหล่านี้ไม่ใช่สถิติเพื่อการโฆษณาเพียงอย่างเดียว แต่เป็นตัวกำหนดรูปแบบการใช้งาน การวางแผนการชาร์จ และส่งผลโดยตรงต่อประสบการณ์การขับขี่และค่าใช้จ่ายในระยะยาว

    การทำความเข้าใจมาตรฐานระยะทางรถไฟฟ้าประเภทต่าง ๆ จะช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเปรียบเทียบระยะทางของแต่ละรุ่นได้อย่างแม่นยำ นำไปสู่การเฟ้นหารถไฟฟ้าที่ใช่ และวางแผนการเดินทางได้ตรงตามความต้องการมากที่สุด

    มาตรฐานระยะทางรถไฟฟ้าคืออะไร ?

    ก่อนเลือกรถไฟฟ้าสำหรับครอบครัวหรือตัวเอง ผู้ใช้รถ EV มือใหม่ต้องทำความเข้าใจก่อนว่ามาตรฐานระยะทางรถไฟฟ้า ไม่ใช่ตัวเลขที่ผู้ผลิตสามารถระบุขึ้นมาลอย ๆ ได้ แต่เกิดจากวิธีการทดสอบและประเมินระยะทางที่รถยนต์ไฟฟ้าสามารถวิ่งได้ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้งภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เช่น ความเร็วเฉลี่ย การเร่ง การใช้พลังงานอุปกรณ์เสริม และสภาพถนนจำลอง

    กล่าวง่าย ๆ คือ เป็นการจำลองการขับขี่ในห้องปฏิบัติการเพื่อหาค่าระยะทางที่เป็นกลางและสามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้นั่นเอง

    ความสำคัญของมาตรฐานระยะทางรถไฟฟ้า

    ตัวเลขเหล่านี้มีความสำคัญอย่างมากในการเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้า เพราะช่วยให้ผู้บริโภคได้รับข้อมูลที่เชื่อถือได้และนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง โดยเฉพาะในประเด็นเหล่านี้

    • เป็นข้อมูลที่เชื่อถือได้ ทำให้สามารถเปรียบเทียบระยะทางของรถยนต์ไฟฟ้าแต่ละรุ่น แต่ละยี่ห้อได้บนพื้นฐานเดียวกัน
    • ช่วยวางแผนการเดินทางทั้งใกล้และไกลได้อย่างมั่นใจ ตลอดจนวางแผนแวะจุดชาร์จรถไฟฟ้าได้แม่นยำ หมดกังวลเรื่องแบตเตอรี่หมดกลางทาง
    • ตัวเลขระยะทางสะท้อนถึงประสิทธิภาพการใช้พลังงานในการขับขี่ ทำให้ประเมินค่าใช้จ่ายในการชาร์จและใช้งานรถได้ง่ายขึ้น
    • ช่วยให้เลือกรถไฟฟ้าที่มีระยะทางเหมาะสมกับพฤติกรรมการขับขี่ในชีวิตประจำวันและไลฟ์สไตล์ ไม่ต้องจ่ายเงินเพื่อซื้อรถที่มีความจุแบตเตอรี่เยอะเกินความจำเป็น

    ด้วยเหตุนี้ มาตรฐานระยะทางรถไฟฟ้าจึงไม่ใช่แค่ตัวเลขเพื่อการโฆษณาเท่านั้น แต่เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการใช้งานรถไฟฟ้าให้เต็มประสิทธิภาพและคุ้มค่าอย่างแท้จริง

    รู้จัก 4 มาตรฐานระยะทางรถไฟฟ้าชั้นนำ WLTP vs NEDC vs CLTC vs EPA

    ในโลกของยานยนต์ไฟฟ้า มีหลายหน่วยงานที่กำหนดมาตรฐานการทดสอบระยะทาง โดยแต่ละมาตรฐานก็มีรายละเอียดที่แตกต่างกันไปตามวัตถุประสงค์และสภาพการใช้งานในแต่ละภูมิภาค ซึ่งมาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากลและมักจะเห็นกันบ่อย ๆ มีอยู่ 4 แบบด้วยกัน ได้แก่ WLTP, NEDC, CLTC และ EPA

    1. NEDC มาตรฐานยุโรปเก่า มักให้ระยะทางที่สูงเกินจริง

    NEDC (New European Driving Cycle) คือ มาตรฐานการทดสอบที่ใช้ในยุโรปมาตั้งแต่ปี 1997 แต่ปัจจุบันกำลังจะถูกแทนที่ด้วย WLTP เนื่องจากเงื่อนไขการทดสอบที่ค่อนข้างเรียบง่ายและจำลองการขับขี่แบบคงที่เกินไป การทดสอบจะทำในห้องปฏิบัติการที่มีอุณหภูมิคงที่และจำลองการขับขี่ด้วยความเร็วต่ำ-ปานกลาง และไม่มีการใช้ระบบปรับอากาศหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าอื่น ๆ ทำให้ตัวเลขระยะทางที่ได้มักจะสูงกว่าการใช้งานจริงอย่างมีนัยสำคัญ

    2. WLTP มาตรฐานยุโรปใหม่ ใกล้เคียงการขับขี่จริง

    WLTP (Worldwide Harmonized Light Vehicle Test Procedure) คือ มาตรฐานที่เข้ามาแทนที่ NEDC โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้ผลการทดสอบใกล้เคียงกับการขับขี่ในชีวิตจริงมากขึ้น ใช้รอบการขับขี่ที่หลากหลายกว่า มีการจำลองความเร็วที่แตกต่างกัน ทั้งการขับขี่ในเมือง นอกเมือง และบนทางหลวง รวมถึงการทดสอบที่อุณหภูมิที่ต่างกันเพื่อสะท้อนพฤติกรรมผู้ขับขี่ที่หลากหลายขึ้น ทำให้ตัวเลขที่ได้จากมาตรฐานนี้มีความแม่นยำและน่าเชื่อถือสูงกว่ามาตรฐานเดิม

    3. CLTC ใช้ในจีน มีรูปแบบการขับขี่เฉพาะพื้นที่

    CLTC หรือชื่อเต็มว่า China Light-Duty Vehicle Test Cycle เป็นมาตรฐานที่พัฒนาขึ้นเพื่อใช้ในประเทศจีนโดยเฉพาะ จึงอิงจากพฤติกรรมการขับขี่จริงของชาวจีนที่มักจะมีการเร่งและเบรกบ่อยครั้งในสภาพการจราจรที่หนาแน่นเป็นหลัก ส่งผลให้ตัวเลขที่ได้จาก CLTC มักจะสูงกว่า WLTP และ EPA เนื่องจากใช้ความเร็วเฉลี่ยที่ต่ำกว่าและไม่มีการจำลองการขับขี่ด้วยความเร็วสูงมากนัก

    4. EPA มาตรฐานสหรัฐฯ เน้นการใช้งานจริงเป็นหลัก

    มาตรฐานสุดท้าย คือ EPA หรือ Environmental Protection Agency ของประเทศสหรัฐอเมริกา ได้รับการยอมรับว่าให้ผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงกับระยะทางที่ใช้งานจริง เพราะการทดสอบมีความเข้มงวดและครอบคลุม ทั้งการทดสอบที่ความเร็วสูง การใช้ระบบปรับอากาศและอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่น ๆ รวมไปถึงการจำลองการขับขี่ในสภาพการจราจรที่ติดขัด ทำให้ตัวเลขที่ได้มีความน่าเชื่อถือและเป็นประโยชน์สำหรับผู้ใช้งานจริง

    ผู้ใช้รถ EV วางแผนหาจุดชาร์จรถได้ง่ายขึ้นหลังเข้าใจมาตรฐานระยะทางรถไฟฟ้า

    ปัจจัยที่ส่งผลต่อระยะทางขับขี่ของรถยนต์ไฟฟ้า

    แม้ว่ามาตรฐานระยะทางรถไฟฟ้าทั้ง 4 ประเภทจะพยายามจำลองการใช้งานจริงให้มากที่สุด แต่ก็เป็นเพียงการทดสอบในห้องปฏิบัติการเท่านั้น อีกทั้งในโลกแห่งความเป็นจริงยังมีอีกหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อระยะทางที่รถวิ่งได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ขับขี่ทุกคนควรตระหนักถึงเพื่อการใช้งานที่มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยปัจจัยที่ส่งผลต่อระยะทางขับขี่โดยตรง มีดังนี้

    • พฤติกรรมการขับขี่ : การเร่งและเบรกอย่างรุนแรง รวมถึงการใช้ความเร็วสูงอย่างต่อเนื่องจะทำให้แบตเตอรี่หมดเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
    • สภาพภูมิอากาศ : อุณหภูมิที่ร้อนจัดหรือหนาวจัดส่งผลต่อประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ ทำให้ระยะทางในการขับขี่ลดลงได้
    • น้ำหนักบรรทุกและผู้โดยสาร : ยิ่งน้ำหนักรวมของรถมากขึ้นเท่าไหร่ มอเตอร์ไฟฟ้าก็ยิ่งต้องทำงานหนักเพื่อขับเคลื่อนรถมากขึ้นเท่านั้น ส่งผลให้สิ้นเปลืองพลังงานและทำให้ระยะทางลดลงเช่นกัน 
    • การใช้ระบบเสริม : ระบบต่าง ๆ ในรถ เช่น ระบบปรับอากาศ ระบบความบันเทิง ล้วนใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ เมื่อแบตเตอรี่ลดลง ระยะทางในการขับขี่จึงลดลงตามไปด้วย
    • สภาพถนนและภูมิประเทศ : การขับขี่บนถนนที่ไม่เรียบหรือบนพื้นที่ลาดชันต้องใช้พลังงานมากกว่าการขับบนถนนเรียบๆ ทั่วไป
    • อายุและสภาพแบตเตอรี่ : เมื่อใช้งานเป็นเวลานาน ประสิทธิภาพของแบตเตอรี่รถไฟฟ้าจะค่อย ๆ ลดลง ส่งผลให้ระยะทางที่วิ่งได้ต่อการชาร์จลดลงตามไปด้วย

    จากปัจจัยเหล่านี้ ผู้ใช้งานจึงควรใช้ตัวเลขมาตรฐานระยะทางรถไฟฟ้าเป็นแนวทางในการเปรียบเทียบรถไฟฟ้าทุกครั้งก่อนตัดสินใจซื้อ และควรเลือกรถยนต์ไฟฟ้าที่มีระยะทางตามมาตรฐานมากกว่าการใช้งานจริงเล็กน้อย เพื่อให้การขับขี่ในทุก ๆ วันเป็นไปอย่างราบรื่น หมดกังวลเรื่องแบตเตอรี่หมดระหว่างทาง และตอบโจทย์การใช้งานในสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดได้ดียิ่งขึ้น

    เข้าใจมาตรฐานระยะทางรถไฟฟ้าและปัจจัยที่ส่งผลต่อการใช้งานจริงแล้ว ทำให้การขับขี่รถยนต์ไฟฟ้าของคุณเป็นเรื่องง่ายและสนุกยิ่งขึ้นด้วย ZEEKR X ยนตรกรรมไฟฟ้าอัจฉริยะที่มาพร้อมระยะทางสูงสุด 400 กิโลเมตรตามมาตรฐาน WLTP ให้คุณมั่นใจได้ในการใช้งานทุกวันและวางแผนการชาร์จได้แม่นยำ 

    ทดลองขับ ZEEKR ทุกรุ่นได้ฟรีที่ ZEEKR METRO ที่เดียวครบจบทุกโซลูชัน ทั้งโชว์รูม ศูนย์บริการ อู่สี และอู่ซ่อมบำรุง พร้อมเป็นเจ้าของรถไฟฟ้า ZEEKR X ในราคา 1,199,000 บาทสำหรับรุ่น Standard นัดหมายก่อนเข้าชม โทร. 02-012-3999 หรือ LINE Official: @zeekrmetro

    ข้อมูลอ้างอิง

    1. EV Range: Everything You Need to Know. สืบค้นเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2568 จาก https://www.caranddriver.com/shopping-advice/a32603216/ev-range-explained/ 
    2. รู้จักมาตรฐานระยะทางรถยนต์ไฟฟ้า NEDC, WLTP, CLTC , EPA. สืบค้นเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2568 จาก https://energy-thaichamber.org/nedc-wltp-cltc-epa/
    3. มาตรฐานระยะทางรถไฟฟ้า NEDC / WLTP / CLTC / EPA ต่างกันอย่างไร?. สืบค้นเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2568 https://evolt.co.th/มาตรฐานระยะทางรถไฟฟ้า-nedc-wltp-cltc-epa/

  • คู่มือเลือกรถไฟฟ้าครอบครัว นำไปปรับใช้จริงได้แน่นอน

    คู่มือเลือกรถไฟฟ้าครอบครัว นำไปปรับใช้จริงได้แน่นอน

    รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ไม่ได้เป็นแค่กระแสรถแห่งอนาคตอีกต่อไป แต่ได้กลายมาเป็นตัวเลือกหลักของหลายครอบครัวที่ให้ความสำคัญกับทั้งสิ่งแวดล้อมและความคุ้มค่าในระยะยาว แต่การเลือกรถ EV ที่เหมาะสมกับครอบครัวนั้น มีหลายปัจจัยที่ต้องพิจารณามากกว่าแค่ “ขับได้ไกลแค่ไหน” บทความนี้จะพาไปสำรวจเกณฑ์สำคัญในการเลือกรถไฟฟ้าครอบครัว พร้อมแนะนำแนวทางประเมินว่ารุ่นไหนที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตได้จริง เพื่อให้ทุกการเดินทางของคุณปลอดภัยและสะดวกสบายสูงสุด

    ความจุผู้โดยสารและพื้นที่ภายใน

    นี่คือปัจจัยอันดับแรกที่ต้องคำนึงถึง โดยหากคุณมีครอบครัวใหญ่ รถยนต์ไฟฟ้าประเภท MPV (Multi-Purpose Vehicle) หรือรถยนต์ไฟฟ้า SUV (Sport Utility Vehicle) ขนาดใหญ่แบบ 7 ที่นั่ง คือตัวเลือกที่ตอบโจทย์และลงตัวที่สุด

    • MPV ไฟฟ้า: เหมาะสำหรับครอบครัวที่ต้องการพื้นที่กว้างขวางเป็นพิเศษสำหรับการเดินทางระยะไกล หรือขนสัมภาระจำนวนมาก เบาะนั่งที่สามารถปรับเปลี่ยนได้หลากหลายรูปแบบ สิ่งเหล่านี้คือจุดเด่นสำคัญของรถ MPV ทำให้สามารถจัดสรรพื้นที่ได้ตามความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางกับผู้สูงอายุ หรือเด็กเล็ก 
    • รถไฟฟ้า SUV  7 ที่นั่ง: โดดเด่นด้วยความอเนกประสงค์ พร้อมสมรรถนะในการลุยได้หลากหลายสภาพถนน อีกทั้งพื้นที่สำหรับผู้โดยสาร 7 คน ก็มักเป็นตัวเลือกที่ลงตัวสำหรับครอบครัวที่ต้องการความสมดุลระหว่างพื้นที่ใช้สอยและสมรรถนะการขับขี่

    ดังนั้น ในการเลือกรถไฟฟ้าครอบครัว แนะนำให้มองหารถที่มีการจัดวางที่นั่งที่ยืดหยุ่น เช่น เบาะนั่งแถวที่สองที่สามารถปรับเอน เลื่อน หรือพับเก็บได้ เพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระ หรือแม้กระทั่งโหมด “เลานจ์” ที่มอบความสะดวกสบายสูงสุดสำหรับผู้โดยสาร

    ความปลอดภัยที่เหนือระดับ

    สำหรับครอบครัว ความปลอดภัยคือสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง โดยรถไฟฟ้า SUV ในปัจจุบันมาพร้อมกับเทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูงมากมาย

    • โครงสร้างตัวถังที่แข็งแกร่ง: เลือกรถไฟฟ้าครอบครัว ที่ใช้แพลตฟอร์มที่ออกแบบมาเพื่อรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ (Dedicated EV Platform) ซึ่งมักจะมีการเสริมความแข็งแรงบริเวณแบตเตอรี่ และมีการกระจายแรงกระแทกที่ดีเยี่ยม
    • ระบบถุงลมนิรภัย: ตรวจสอบจำนวนและตำแหน่งของถุงลมนิรภัยที่ครอบคลุมผู้โดยสารทุกที่นั่ง รวมถึงถุงลมนิรภัยด้านข้างและม่านถุงลมนิรภัย
    • ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง (ADAS): ฟีเจอร์อย่าง ระบบเตือนการชนด้านหน้า (Forward Collision Warning), ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ (Automatic Emergency Braking), ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบปรับได้ (Adaptive Cruise Control), ระบบช่วยรักษาช่องทางเดินรถ (Lane Keeping Assist) และระบบตรวจสอบจุดอับสายตา (Blind Spot Monitoring) คือสิ่งที่ควรต้องมีในรถไฟฟ้าครอบครัว เพราะสิ่งเหล่านี้ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการขับขี่ได้อย่างมาก

    ความสะดวกสบายสำหรับทุกวัยในครอบครัว

    สิ่งที่ทำให้รถไฟฟ้าสำหรับครอบครัว “แตกต่าง” จาก EV ทั่วไป คือประสบการณ์การเดินทางที่เน้นความผ่อนคลายเหมือนนั่งอยู่บ้าน ไม่ใช่แค่มีที่นั่งครบ แต่ต้องมีฟังก์ชันที่ตอบสนองความต้องการหลากหลายวัย ไม่ว่าจะเป็น 

    • ระบบแอร์แยกโซน (Multi-zone Climate Control)
    • หลังคา Panoramic ที่เปิดรับแสงธรรมชาติ
    • ระบบเสียงระดับ Hi-Fi รอบทิศทางสำหรับความบันเทิงในทุกที่นั่ง
    • จอ Entertainment สำหรับผู้โดยสารแถวหลัง

    นอกจากนั้นในบางรุ่นยังมาพร้อมระบบ AI Voice Assistant ที่สามารถสั่งงานฟังก์ชันต่าง ๆ ด้วยเสียง หรือจอ HUD ที่แสดงข้อมูลขับขี่บนกระจกหน้ารถ โดยไม่ต้องละสายตาจากถนน สร้างประสบการณ์ขับขี่ที่เหมาะกับครอบครัวอย่างแท้จริง

    ระยะทางขับขี่ที่ลงตัวกับไลฟ์สไตล์

    รถยนต์ไฟฟ้าครอบครัว ไม่ว่าจะ SUV หรือ MPV ไม่ใช่รถที่ขับเฉพาะในเมือง แต่ต้องพร้อมสำหรับทริปต่างจังหวัดในช่วงวันหยุด หรือการเดินทางที่มีเด็ก ผู้สูงอายุ และสัมภาระหลายชิ้น การเลือกรถที่มีระยะทางขับขี่ต่อการชาร์จที่น่าเชื่อถือจึงเป็นสิ่งจำเป็น โดยเกณฑ์ขั้นต่ำที่แนะนำมีดังนี้ 

    • วิ่งได้มากกว่า 500 กิโลเมตร/ชาร์จ (ตามมาตรฐาน WLTP หรือ NEDC)
    • รองรับการชาร์จด่วน (DC Fast Charging) ได้ภายใน 30–40 นาที
    • แบตเตอรี่แบบ NCM ที่คงประสิทธิภาพได้นานแม้ใช้งานหลายปี

    สำหรับครอบครัวที่เดินทางบ่อย รถที่มีเทคโนโลยีแบตเตอรี่ล้ำสมัย เช่น Hairpin Coil หรือระบบลดแรงสั่นสะเทือน CCD จะช่วยให้การขับขี่ทั้งปลอดภัย นุ่มนวล และประหยัดพลังงานมากขึ้น

    ความคุ้มค่าในระยะยาว ไม่ได้วัดแค่ “ราคาป้าย”

    “ความคุ้มค่าในระยะยาว” คืออีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการเลือกรถไฟฟ้าครอบครัว ดังนั้น จึงควรประเมิน “Total Cost of Ownership” ก่อนตัดสินใจซื้อ ดังนี้ 

    • ความทนทานของแบตเตอรี่และระบบขับเคลื่อน: แบรนด์ที่ใช้แบตเตอรี่เกรดสูง พร้อมรับประกันระยะยาว ย่อมช่วยลดต้นทุนการเปลี่ยนแบตในอนาคต
    • ค่าใช้จ่ายในการชาร์จ: หากมีระบบจัดการพลังงานอัจฉริยะ หรือรองรับการชาร์จแบบ DC Fast Charging ก็สามารถประหยัดเวลาและต้นทุนในระยะยาวได้
    • การอัปเดตซอฟต์แวร์ OTA: รถที่สามารถอัปเดตฟีเจอร์และระบบใหม่ ๆ ผ่านอินเทอร์เน็ตโดยไม่ต้องเข้าศูนย์ จะช่วยยืดอายุการใช้งานและลดค่าใช้จ่ายด้านบริการ
    • มูลค่าขายต่อ (Resale Value): แบรนด์ที่ได้รับการยอมรับในตลาด EV และมีศูนย์บริการที่น่าเชื่อถือ จะช่วยให้ราคาขายต่อไม่ร่วงเร็วจนเกินไป

    ทั้งหมดนี้คือองค์ประกอบที่ช่วยตัดสินว่า รถ EV รุ่นไหน “คุ้มค่าจริง” กับการใช้งานของครอบครัว และเมื่อใช้แล้วต้องรู้สึกได้ถึงความประหยัด ความเสถียร และการดูแลที่ง่ายในระยะยาว

    ถึงตรงนี้ ถ้าคุณกำลังมองหารถไฟฟ้าที่พร้อมตอบโจทย์การใช้งานของครอบครัวในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่โดยสารที่กว้างขวาง ความปลอดภัยที่เหนือระดับ หรือเทคโนโลยีที่ยกระดับความสะดวกสบายในทุกการเดินทาง ZEEKR METRO พร้อมนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้า 2 รุ่น ที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองทุกความต้องการของครอบครัวยุคใหม่อย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็น 

    • ZEEKR X: รถ SUV ไฟฟ้าขนาดกลางที่ผสานดีไซน์ล้ำสมัยกับสมรรถนะคล่องตัว เหมาะทั้งครอบครัวขนาดเล็กและคนเมืองที่มีไลฟ์สไตล์หลากหลาย
    • ZEEKR 009: รถ MPV ที่ภายในกว้างขวาง มาพร้อมเบาะ 7 ที่นั่งแบบ 2+2+3 และช่วงล่างถุงลมที่นุ่มนวลเหนือระดับ ขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้าระดับแฟลกชิป

    แวะไปเยี่ยมชมโชว์รูม ZEEKR METRO ของเราวันนี้ เพื่อสัมผัสกับนิยามใหม่ของการเดินทางแบบพรีเมียม สามารถติดต่อเราเพื่อจองคิวล่วงหน้าหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 02-012-3999 หรือ LINE Official: @zeekrmetro

    ข้อมูลอ้างอิง

    1. Choosing an EV for a family. สืบค้นเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2568 จาก https://www.meridianenergy.co.nz/ev/choosing-an-ev-for-a-family
  • ซื้อรถโชว์รูมไหนดี ? ไม่อยากตัดสินใจพลาดต้องอ่าน

    ซื้อรถโชว์รูมไหนดี ? ไม่อยากตัดสินใจพลาดต้องอ่าน

    การซื้อรถยนต์ไฟฟ้า (EV) สักคัน ไม่ใช่แค่เรื่องของการเลือกแบรนด์หรือรุ่นที่ถูกใจ แต่ยังรวมถึง “ประสบการณ์” ที่จะได้รับตั้งแต่ก่อนซื้อ ระหว่างการตัดสินใจ ไปจนถึงการดูแลหลังการขายด้วย โดยทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับ “การเลือกโชว์รูมรถ EV” โดยตรง หลายคนอาจคิดว่าโชว์รูมก็เหมือนกันหมด แต่ความจริงแล้วแต่ละโชว์รูมมีรายละเอียดที่แตกต่างกัน ซึ่งส่งผลต่อความพึงพอใจและความมั่นใจของคุณในระยะยาวได้โดยตรง ดังนั้น บทความนี้จึงจะมาบอกถึงสิ่งที่ควรพิจารณาก่อนตัดสินใจว่าจะซื้อรถโชว์รูมไหนดี เพื่อให้ประสบการณ์การเป็นเจ้าของรถไฟฟ้าของคุณน่าจดจำ

    1. ความเชี่ยวชาญของทีมที่ปรึกษา (EV Sales Consultant)

    รถยนต์ไฟฟ้าไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแหล่งพลังงานจากน้ำมันมาเป็นไฟฟ้า แต่คือการเปลี่ยน “แพลตฟอร์มยานยนต์ทั้งระบบ” ดังนั้น ก่อนตัดสินใจว่าจะซื้อรถโชว์รูมไหนดี ต้องดูให้มั่นใจว่าที่ปรึกษาการขายมีความรู้รอบด้าน ไม่ใช่แค่เรื่องสเปกของรถ แต่รวมถึงเทคโนโลยี EV, แบตเตอรี่, ความสามารถในการชาร์จ, ความคุ้มค่าในแต่ละรุ่น และการใช้งานจริงในบริบทของผู้ใช้แต่ละคน

    โชว์รูมที่ดีจะไม่ยัดเยียดการขาย แต่จะช่วยคุณวิเคราะห์ว่า “รถรุ่นไหนเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคุณที่สุด” พร้อมอธิบายข้อดีข้อเสียอย่างตรงไปตรงมา รวมถึงให้คำแนะนำเรื่องแผนการชาร์จ การใช้งานระยะยาว และค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษา

    2. ประสบการณ์ทดลองขับที่ครบทุกฟีเจอร์

    การทดลองขับ EV ไม่ควรจบแค่การขับวนรอบตึกเพื่อดูว่า “รถวิ่งนุ่มไหม” เพราะเทคโนโลยี EV นั้นเต็มไปด้วยนวัตกรรม เช่น ระบบ Regenerative Braking, One Pedal Driving, Adaptive Cruise Control, หรือแม้แต่ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ ดังนั้น โชว์รูมที่เข้าใจผู้บริโภคจะมีเส้นทางทดลองขับที่ออกแบบให้คุณได้สัมผัสทุกฟีเจอร์อย่างแท้จริง พร้อมคำอธิบายประกอบอย่างเข้าใจง่าย ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ดีขึ้นว่า EV คันนั้นตอบโจทย์คุณจริงหรือไม่

    3. มาตรฐานการตกแต่งโชว์รูมและศูนย์บริการ

    โชว์รูม EV ที่ดีควรถูกออกแบบให้สะท้อนแนวคิดของแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็นความล้ำสมัย ความเรียบหรู หรือแนวคิดยั่งยืน (Sustainability) เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ได้มีผลแค่ต่อภาพลักษณ์ แต่ยังแสดงถึง “ความใส่ใจในรายละเอียด” ของตัวแทนจำหน่าย

    นอกจากนี้ ศูนย์บริการที่เชื่อมกับโชว์รูมก็ควรมีมาตรฐานเทียบเท่าหรือดีกว่ามาตรฐานของรถยนต์ ICE (เครื่องยนต์สันดาป) ทั้งในแง่ของเครื่องมือเฉพาะทางสำหรับ EV, ทีมช่างที่ผ่านการฝึกอบรมจากแบรนด์โดยตรง และพื้นที่ซ่อมบำรุงที่ปลอดภัยสำหรับการจัดการแบตเตอรี่แรงดันสูง

    ปัจจัยที่ช่วยในการตัดสินใจว่าจะซื้อรถโชว์รูมไหนดี

    4. บริการหลังการขายและโปรแกรมดูแล EV ระยะยาว

    เพราะรถ EV มีระบบที่แตกต่างจากรถทั่วไป ดังนั้น วิธีเลือกโชว์รูมรถ EV เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่พลาดในเรื่องที่ควรจะได้รับ แนะนำให้เลือกโชว์รูมที่ให้ความสำคัญกับบริการหลังการขายแบบครบวงจร ไม่ใช่แค่ช่วงรับรถใหม่ แต่รวมถึงการดูแลระยะยาวเพื่อให้รถยังคงสมรรถนะและความปลอดภัยได้เต็มประสิทธิภาพตลอดอายุการใช้งาน

    โดยบริการควรครอบคลุมตั้งแต่ 

    • ระบบจองคิวออนไลน์ที่ชัดเจนและใช้งานง่าย
    • การรับประกันแบตเตอรี่ มอเตอร์ และระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่โปร่งใส
    • มีบริการเช็กรถถึงบ้าน (Mobile Service) เพื่อความสะดวกของผู้ใช้
    • บริการเคลมประกันภัยที่ประสานงานรวดเร็วและใช้ชิ้นส่วนแท้จากโรงงาน
    • ช่องทางติดต่อด่วนเมื่อเกิดเหตุไม่คาดคิด เช่น รถไม่ชาร์จ, ระบบ Error, หรือสัญญาณเตือนขึ้นไม่ทราบสาเหตุ

    5. ความพร้อมของระบบชาร์จไฟ และการให้ข้อมูลเรื่องการติดตั้ง EV Charger

    หนึ่งใน Pain Point ที่ผู้ใช้ EV หน้าใหม่กังวลมากที่สุดคือเรื่องของ “การชาร์จไฟ” โดยเฉพาะหากอาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียมหรือไม่มีที่จอดรถประจำ ด้วยเหตุนี้อีกหนึ่งวิธีเลือกโชว์รูมรถ EV คือให้มองหาโชว์รูมที่ไม่ปล่อยให้คุณหาคำตอบเองจาก Google แต่จะช่วยคุณตั้งแต่ 

    • การวิเคราะห์สถานที่ติดตั้ง EV Charger ที่บ้าน
    • การประสานงานกับช่างหรือนิติบุคคล
    • การแนะนำอุปกรณ์ชาร์จที่เหมาะสมกับรถรุ่นที่ซื้อ
    • บริการติดตั้งโดยทีมที่ได้รับการรับรอง

    นอกจากนี้ ในโชว์รูมเองก็ควรมี EV Charger รองรับทั้งแบบ AC และ DC Fast Charge เพื่อให้ลูกค้าทดลองได้จริง

    6. รีวิวจากผู้ใช้งานจริง และความโปร่งใสในการบริการ

    ในยุคที่รีวิวออนไลน์กลายเป็นข้อมูลสำคัญ ก่อนตัดสินใจว่าจะซื้อรถโชว์รูมไหนดี  แนะนำให้เลือกโชว์รูม EV ที่มีฐานลูกค้าแข็งแกร่ง และได้รับการรีวิวในเชิงบวกจากผู้ใช้งานจริง จะช่วยเพิ่มความมั่นใจได้อย่างมาก โดยดูได้จาก 

    • คะแนนรีวิวใน Google Maps, Facebook หรือเว็บไซต์ต่าง ๆ
    • การตอบกลับของเจ้าหน้าที่ต่อคำติชม
    • การจัดกิจกรรม Open House หรือ Test Drive Day ให้กับผู้สนใจทั่วไป

    สำหรับใครที่กำลังมีรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์ ZEEKR เป็นตัวเลือกในใจ แต่ยังไม่รู้ว่าจะซื้อรถ ZEEKR โชว์รูมไหนดี แนะนำ ZEEKR METRO ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า ZEEKR อย่างเป็นทางการ โดยปัจจุบัน ZEEKR METRO มีด้วยโชว์รูม 2 สาขาที่คุณสามารถไปเยี่ยมชมได้เลย

    • โชว์รูม ZEEKR METRO สาขาบางนา (โชว์รูม)
    • ZEEKR METRO สาขาพระราม 2 (สำนักงานใหญ่)

    โชว์รูม ZEEKR METRO ทั้ง 2 สาขาในกรุงเทพฯ พร้อมมอบบริการครบวงจร ตั้งแต่การให้คำปรึกษา ทดลองขับ ไปจนถึงบริการหลังการขายและศูนย์ซ่อมมาตรฐานที่คุณวางใจได้ ไม่ว่าคุณจะอยู่โซนไหนของกรุงเทพฯ เราพร้อมต้อนรับทุกความสนใจ และมอบประสบการณ์การเป็นเจ้าของรถ EV ที่เหนือระดับในแบบฉบับของ ZEEKR อย่างแท้จริง แวะไปเยี่ยมชมโชว์รูม ZEEKR METRO ของเราวันนี้ เพื่อสัมผัสกับนิยามใหม่ของการเดินทางแบบพรีเมียม สามารถติดต่อเราเพื่อจองคิวล่วงหน้าหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 02-012-3999 หรือ LINE Official: @zeekrmetro

    ข้อมูลอ้างอิง

    How an EVA dealer could help you choose an electric car. สืบค้นเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2568 จาก https://www.motoringelectric.com/buying/electric-vehicle-eva-approved-dealer/

  • 11 แอปสถานีชาร์จรถไฟฟ้า เช็กจุดชาร์จทั่วประเทศ ใช้งานง่าย

    11 แอปสถานีชาร์จรถไฟฟ้า เช็กจุดชาร์จทั่วประเทศ ใช้งานง่าย

    การเดินทางด้วยรถยนต์ไฟฟ้าในยุคปัจจุบัน นอกจากจะเป็นการเลือกใช้เทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังเป็นการสะท้อนถึงไลฟ์สไตล์ที่ทันสมัยและการมองการณ์ไกลของผู้ใช้งาน แต่ถึงอย่างนั้นความท้าทายหลักที่เจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าต้องเผชิญ คือ การค้นหาจุดชาร์จรถไฟฟ้าที่เหมาะสมและเชื่อถือได้ “แอปพลิเคชันตรวจสอบสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าทั่วประเทศ” จึงกลายเป็นสิ่งที่ผู้ขับขี่รถไฟฟ้าทุกคนควรมีติดมือถือไว้ เพื่อช่วยให้การค้นหาสถานี EV Charge เป็นเรื่องง่ายและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น !

    1. MEA EV

    แอปพลิเคชันอย่างเป็นทางการจากการไฟฟ้านครหลวง (MEA) ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ ครอบคลุมบริการค้นหา จอง และสั่งการชาร์จได้ในแอปเดียว ผู้ใช้งานสามารถค้นหาสถานีชาร์จรถไฟฟ้าในเครือ MEA และพันธมิตรอย่าง EA Anywhere รวมถึงสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย (EVAT) ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว พร้อมระบบแผนที่นำทางที่แม่นยำด้วยเทคโนโลยี GIS ผสานกับ Google Map

    จุดเด่นของแอปพลิเคชัน MEA EV

    • ค้นหาสถานี EV Charge และจองหัวชาร์จล่วงหน้าได้เฉพาะสถานีที่ลงทะเบียนกับ MEA
    • เชื่อมต่อระบบนำทาง พร้อมสั่งการเริ่ม-หยุดการชาร์จผ่านมือถือ
    • ใช้ระบบชำระเงินผ่าน MEA Wallet ที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้
    • แสดงข้อมูลการชาร์จและประวัติการใช้งานแบบเรียลไทม์

    ดาวน์โหลดบน Google Play (Android) :
    https://play.google.com/store/apps/details?id=th.mea.evcharger&hl=th

    ดาวน์โหลดบน App Store (iOS) :
    https://apps.apple.com/th/app/mea-ev/id1321755208?l=th

    2. GO TO-U

    แพลตฟอร์มระบบปฏิบัติการอัจฉริยะสำหรับการบริหารจัดการจุดชาร์จรถไฟฟ้าระดับสากล ที่ใช้งานแล้วในกว่า 67 ประเทศ รวมถึงประเทศไทย โดยเน้นมอบประสบการณ์การชาร์จที่ไร้รอยต่อ ทั้งสำหรับผู้ขับขี่และผู้ให้บริการสถานี ด้วย Advanced Reservation Technology (ART) ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถจองคิวการชาร์จล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ ลดเวลารอคิว เพิ่มอัตราการใช้งานสถานี และลดความไม่แน่นอนในการเดินทาง

    จุดเด่นของแอปพลิเคชัน GO TO-U

    • รองรับการชำระเงินผ่านเครื่องชำระเงินที่ติดตั้งในสถานี
    • ได้รับการออกแบบมาให้ใช้งานง่าย ทั้งฝั่งผู้ขับขี่และผู้ให้บริการ พร้อม API เชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มอื่น
    • มีระบบวิเคราะห์ข้อมูลด้วย AI เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้งานสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าทั่วประเทศ
    • มีการขยายโครงข่ายผ่าน Roaming และ White Label Solution สำหรับผู้ประกอบการ

    ดาวน์โหลดบน Google Play (Android) : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.go.tou&hl=th&pli=1

    ดาวน์โหลดบน App Store (iOS) : https://apps.apple.com/th/app/go-to-u-ev-charging-app/id1175538017?l=th

    3. Altervim

    แพลตฟอร์มโซลูชันพลังงานสะอาดแบบครบวงจร ที่มุ่งสร้างสังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน ผ่านการเชื่อมต่อเทคโนโลยีและพลังงานในชีวิตประจำวัน โดยมีโครงการกว่า 2,800 โครงการกระจายอยู่ทั่วประเทศไทย มาเลเซีย และจีน รวมถึงการให้บริการจุดชาร์จรถไฟฟ้าที่ตอบโจทย์การใช้พลังงานสะอาดของคนเมืองยุคใหม่

    จุดเด่นของแอปพลิเคชัน Altervim

    • เป็นส่วนหนึ่งของโครงข่ายพลังงานสะอาดระดับประเทศ
    • โครงการขยายครอบคลุมทั้งในเมืองและภูมิภาค
    • เชื่อมต่อ EV Charging กับระบบพลังงานทางเลือก เช่น Solar Rooftop
    • เหมาะสำหรับผู้ขับขี่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและมองหาบริการที่ครอบคลุมในระยะยาว

    ดาวน์โหลดบน Google Play (Android) : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.altervim.econnect&hl=th

    ดาวน์โหลดบน App Store (iOS) : https://apps.apple.com/th/app/altervim-super-charge/id1623559338?l=th

    4. PEA VOLTA

    แพลตฟอร์มสถานีอัดประจุไฟฟ้าสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า โดยการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) ที่ออกแบบมาเพื่อให้บริการครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ ทั้งในเมืองหลัก เมืองรอง ไปจนถึงเส้นทางชนบท ช่วยให้ผู้ใช้งานมั่นใจได้ในทุกการเดินทางว่ามีสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ารองรับตลอดเส้นทาง โดยผู้ใช้งานสามารถตรวจสอบตำแหน่งสถานีชาร์จ คิวการใช้งาน และเข้าถึงบริการผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของ PEA VOLTA ได้ทันที

    จุดเด่นของแอปพลิเคชัน PEA VOLTA

    • ครอบคลุมเครือข่ายสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าทั่วประเทศ
    • รองรับการให้บริการทั้งฝั่งผู้ใช้งานทั่วไปและผู้ประกอบการ
    • อัปเดตสถานะการใช้งานแบบเรียลไทม์
    • สนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานสะอาดของประเทศ

    ดาวน์โหลดบน Google Play (Android) : 

    https://play.google.com/store/apps/details?id=com.pea.peavolta&hl=th

    ดาวน์โหลดบน App Store (iOS) : 

    https://apps.apple.com/th/app/pea-volta/id1503297093?l=th

    ปัจจัยที่ช่วยในการตัดสินใจว่าจะซื้อรถโชว์รูมไหนดี

    5. ReverSharger (SHARGE)

    ผู้ให้บริการเครือข่ายสถานีชาร์จรถไฟฟ้าระดับพรีเมียมในประเทศไทย ด้วยจุดบริการมากกว่า 1,300 แห่งทั้งในอาคารสำนักงาน โรงแรม ห้างสรรพสินค้า และตามเส้นทางใหญ่ รองรับเครื่องชาร์จทั้งแบบ AC และ DC (50-360 kW) กระจายอย่างทั่วถึง โดยมีจุดห่างกันประมาณ 160 กม. บนเส้นทางหลัก นอกจากนี้ ReverSharger (SHARGE) ยังมุ่งเน้นบริการครบวงจรทั้งสำหรับผู้ใช้ทั่วไป บ้านพัก (Home Charging) และองค์กรขนาดใหญ่ (Fleet Solution) พร้อมระบบการจัดการข้อมูลแบบเรียลไทม์ ที่ช่วยติดตามการใช้งานและประสิทธิภาพของเครือข่ายได้อย่างแม่นยำ

    จุดเด่นของแอปพลิเคชัน ReverSharger (SHARGE)

    • รองรับเครื่องชาร์จ DC Fast Charge มั่นใจว่าชาร์จเต็มเร็ว ทุกทริปเดินทาง
    • แอปพลิเคชันใช้งานง่าย เช็กสถานะ ควบคุมการชาร์จ ตรวจสอบประวัติ และชำระเงิน ครบจบในแอปเดียว
    • บริการครอบคลุมทั้งลูกค้ารายบุคคลและองค์กร พร้อมระบบบริหารจัดการเชิงลึก
    • มีศูนย์บริการหลังการขายและสนับสนุนทางเทคนิคตลอด 24/7

    ดาวน์โหลดบน Google Play (Android) :

    https://play.google.com/store/apps/details?id=com.sharge.shargeapp&hl=th

    ดาวน์โหลดบน App Store (iOS) : https://apps.apple.com/th/app/reversharger/id1492566430

    6. EV Station PluZ

    แพลตฟอร์มสถานีชาร์จรถไฟฟ้าอย่างเป็นทางการ จากบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ PTTOR ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ผู้ขับขี่ EV ทั่วประเทศ โดยสถานีชาร์จของ EV Station PluZ จะถูกวางเครือข่ายตาม ปั๊มน้ำมัน PTT, Café Amazon, และจุดยุทธศาสตร์ต่าง ๆ มีทั้งหัวชาร์จแบบ Normal และ Fast Charge ตอบโจทย์รถยนต์ไฟฟ้าทุกรุ่น

    จุดเด่นของแอปพลิเคชัน EV Station PluZ

    • เวอร์ชันล่าสุดมาพร้อมอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่ายขึ้น พร้อมฟังก์ชันใหม่อย่างระบบสะสมคะแนน Blue Plus+
    • แสดงสถานะเครื่องชาร์จและจุดให้บริการได้แบบเรียลไทม์
    • เชื่อมต่อกับประสบการณ์การเดินทางของผู้ใช้ EV อย่างเต็มรูปแบบ ทั้งกาแฟ พักรถ และชาร์จไฟในที่เดียว
    • เหมาะสำหรับผู้ขับขี่ EV ที่ต้องการความสะดวก มั่นใจ และคุ้มค่าทุกการเดินทาง

    ดาวน์โหลดบน Google Play (Android) : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.pttor.evstationpluz&hl=th

    ดาวน์โหลดบน App Store (iOS) : https://apps.apple.com/th/app/ev-station-pluz-พล-ซท-กความส-ข/id6535679105?l=th

    7. E@ Anywhere (EA Anywhere)

    แอปพลิเคชันสำหรับการบริหารจัดการการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า จากบริษัท Energy Mahanakhon ภายใต้กลุ่มบริษัทพลังงานบริสุทธิ์ (EA) ที่ให้บริการสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าทั่วประเทศ โดยเน้นความสะดวกในการเข้าถึงผ่านแอปพลิเคชันที่ออกแบบมาให้ใช้งานง่าย และมีฟังก์ชันที่ตอบโจทย์ผู้ขับขี่ EV ทุกรูปแบบ ที่สำคัญ สถานีของ EA Anywhere เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง และรองรับรถยนต์ไฟฟ้าหลากหลายยี่ห้อ

    จุดเด่นของแอปพลิเคชัน E@ Anywhere

    • รองรับการใช้งาน 24 ชั่วโมง พร้อมระบบลงทะเบียนง่ายภายใน 3 ขั้นตอน
    • มีพันธมิตรมากมาย ช่วยให้เข้าถึงสถานีในโลเคชันที่หลากหลาย เช่น ห้างสรรพสินค้า โรงแรม ปั๊มน้ำมัน จุดท่องเที่ยว
    • รองรับการชาร์จทั้งแบบ AC และ DC สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าหลายรุ่น

    ดาวน์โหลดบน Google Play (Android) : https://play.google.com/store/apps/details?id=evapp.eaanywhere&hl=th

    ดาวน์โหลดบน App Store (iOS) : 

    https://apps.apple.com/th/app/e-anywhere/id6480576942

    8. EVolt

    ผู้ให้บริการสถานีชาร์จรถไฟฟ้าแบบครบวงจรในประเทศไทย ตั้งแต่การออกแบบระบบ การติดตั้งเครื่องชาร์จ การพัฒนาระบบและแอปพลิเคชัน ไปจนถึงบริการหลังการติดตั้งโดยทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมดูแลตลอด 24 ชั่วโมง โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้าง Total Solution ที่เชื่อมต่อทุกการเดินทางแบบไม่มีสะดุด ด้วยจุดชาร์จรถไฟฟ้ากว่า 200 แห่งทั่วประเทศ (120 เครื่องชาร์จ DC และ 80 เครื่องชาร์จ AC) ใช้งานกว่า 9,000 ราย รองรับการใช้งานรวมแล้วกว่า 1 ล้าน kWh

    จุดเด่นของแอปพลิเคชัน EVolt

    • เริ่ม-หยุดการชาร์จง่ายผ่านมือถือหรือบัตร EVolt
    • สามารถค้นหาสถานีชาร์จได้ทันที พร้อมระบุข้อมูลสถานะ (ว่าง/ใช้งาน/เสีย)
    • ติดต่อ เติมเงิน และตรวจสอบทุกอย่างในแอปเดียว ด้วยการออกแบบ UX/UI ที่เน้นประสบการณ์ผู้ใช้

    ดาวน์โหลดบน Google Play (Android) :

    https://play.google.com/store/apps/details?id=th.evolt.echarge&hl=th

    ดาวน์โหลดบน App Store (iOS) :

    https://apps.apple.com/th/app/evolt/id1471528625?l=th

    9. PlugShare

    หนึ่งในเว็บไซต์และแอปพลิเคชันระดับโลกที่รวบรวมข้อมูลสถานี EV Charge มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นสถานีจากเครือข่ายใหญ่ หรือจากผู้ใช้ทั่วโลก โดยผู้ใช้สามารถดูรีวิวจริงจากชุมชน (Check‑in & reviews) พร้อมรูปภาพและคำแนะนำจากผู้ขับขี่รายอื่นได้ทันที เพื่อให้ได้สถานีชาร์จรถไฟฟ้าที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การขับขี่ของคุณมากที่สุด

    จุดเด่นของแอปพลิเคชัน PlugShare

    • ฐานข้อมูลกว้างขวางระดับโลก ครอบคลุมทั้งในไทยและต่างประเทศ
    • มาพร้อมฟิลเตอร์อัจฉริยะ ให้ผู้ใช้สามารถเลือกเฉพาะจุดที่ตรงกับรถและความต้องการ
    • มีฟีเจอร์ Trip Planner ช่วยวางแผน Road Trip แบบครบวงจร
    • มีระบบชำระเงินในตัวเมื่อใช้สถานีที่รองรับ

    ดาวน์โหลดบน Google Play (Android) :

    https://play.google.com/store/apps/details?id=com.xatori.Plugshare&hl=th

    ดาวน์โหลดบน App Store (iOS) :

    https://apps.apple.com/th/app/plugshare/id421788217

    10. Saifah

    แอปพลิเคชันจาก Saifah EV Company ที่มุ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถวางแผนเส้นทางชาร์จรถไฟฟ้าได้อย่างราบรื่นที่สุด โดยเชื่อมโยงข้อมูล สถานีชาร์จรถไฟฟ้า ทุกเครือข่ายทั่วประเทศ ตอบโจทย์ทั้งการวางแผนล่วงหน้าและการเดินทางจริง รองรับผู้ใช้งานกลุ่มผู้บริหาร ครอบครัว และนักเดินทาง ที่ต้องการประสบการณ์ไร้ขีดจำกัดด้วยรถไฟฟ้า

    จุดเด่นของแอปพลิเคชัน Saifah

    • ให้บริการวางแผนการเดินทาง EV (Trip Planning) ผ่าน AI เพื่อประเมินเส้นทางที่เหมาะสม พร้อมคำนวณระดับแบตเตอรี่คงเหลือและจุดชาร์จที่แนะนำให้แวะระหว่างทาง
    • แสดงสถานีชาร์จที่ใกล้ที่สุด พร้อมระยะและสถานะเรียลไทม์ ครอบคลุมจุดชาร์จมากกว่า 5,000 แห่งทั่วประเทศ
    • มีระบบ Saifah AI ช่วยจัดเส้นทางไป‑กลับ และเชื่อมต่อกับ Google Maps เพื่อการนำทางทันที
    • รองรับการเชื่อมต่อข้อมูลกับรถ EV โดยตรง ใช้งานง่ายผ่านอินเทอร์เฟซที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้

    ดาวน์โหลดบน Google Play (Android) : https://play.google.com/store/apps/details?id=app.saifah.twa&hl=th

    ดาวน์โหลดบน App Store (iOS) : https://apps.apple.com/th/app/saifah-ev-charging-planner/id6448617697

    11. EleXA

    แพลตฟอร์มดิจิทัลจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT) ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งานของชุมชนผู้ขับขี่รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยอย่างเต็มรูปแบบ ภายใต้บทบาทของผู้ให้บริการด้านยานยนต์ไฟฟ้า (E-Mobility Service Provider: EMSP) มุ่งเน้นการพัฒนาเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้รถ EV ด้วยการเชื่อมโยงสถานีชาร์จหลากหลายเครือข่ายไว้ในแพลตฟอร์มเดียว พร้อมระบบวางแผนเส้นทาง ค้นหาสถานี และจองเวลาในการชาร์จแบบเรียลไทม์

    จุดเด่นของแอปพลิเคชัน EleXA

    • รวบรวมสถานีชาร์จจากหลายผู้ให้บริการผ่านระบบ Roaming ที่ใช้งานได้จริง
    • รองรับฟีเจอร์จองเวลาใช้งานสถานีชาร์จล่วงหน้า
    • แสดงสถานะสถานีแบบเรียลไทม์ และสามารถเลือกตามประเภทหัวชาร์จหรือกำลังไฟ
    • ใช้อัตราค่าชาร์จตามจริง และสามารถตรวจสอบหน่วยชาร์จได้แบบโปร่งใสในแอป

    ดาวน์โหลดบน Google Play (Android) :

    https://play.google.com/store/apps/details?id=egat.smd.ev&hl=th

    ดาวน์โหลดบน App Store (iOS) : 

    https://apps.apple.com/th/app/elexa/id1557651291?l=th

    หากกำลังพิจารณาเป็นเจ้าของรถไฟฟ้าคันแรก หรือต้องการอัปเกรดไปสู่เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยกว่า ZEEKR METRO พร้อมมอบประสบการณ์ที่เหนือกว่าด้วย ZEEKR ยานยนต์ไฟฟ้าสุดล้ำจากประเทศจีน ให้บริการโดยทีมผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการใช้งานรถไฟฟ้า รวมถึงแนะนำแอปพลิเคชันและเส้นทางสถานีชาร์จรถไฟฟ้าที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของคุณ เยี่ยมชมศูนย์บริการรถไฟฟ้า ZEEKRของเราวันนี้ เพื่อสัมผัสกับนิยามใหม่ของการเดินทางแบบพรีเมียม ติดต่อเราเพื่อจองคิวล่วงหน้าหรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 02-012-3999 หรือ LINE Official: @zeekrmetro

    ข้อมูลอ้างอิง

    1. MEA EV. สืบค้นเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 จาก https://www.mea.or.th/our-services/mea-service/mobile-application/mea-ev
    2. GO TO-U: Operating System for EV Charging Management. สืบค้นเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 จาก https://go-tou.com/en
    3. Home :: Altervim. สืบค้นเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 จาก https://www.altervim.com/th_TH
    4. PEA VOLTA – ครอบคลุมทั่วไทย ชาร์จมั่นใจทุกเส้นทาง PEA VOLTA,VOLTA ,PEA EV. สืบค้นเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 จาก https://peavoltaev.pea.co.th/
    5. Sharge. สืบค้นเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 จาก https://sharge.co.th/
    6. Welcome to EV Station PluZ. สืบค้นเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 จาก https://evstationpluz.pttor.com/th/home
    7. EA ANYWHERE – ELECTRIC FOR ANY CARS. สืบค้นเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 จาก https://www.eaanywhere.com/
    8. Evolt เป็นผู้ให้บริการสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจร. สืบค้นเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 จาก https://evolt.co.th/
    9. PlugShare – EV Charging Station Map – Find a place to charge. สืบค้นเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 จาก https://www.plugshare.com/
    10. Saifah – Simplifying EV trip planning for everyone. สืบค้นเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 จาก https://www.saifah.app/
    11. EleXA EV. สืบค้นเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 จาก https://egatev.egat.co.th/our-services/elexa/.
  • หมัดต่อหมัด ! เปรียบเทียบรถไฟฟ้ากับรถน้ำมันเจาะลึกทุกจุด

    หมัดต่อหมัด ! เปรียบเทียบรถไฟฟ้ากับรถน้ำมันเจาะลึกทุกจุด

    ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าหรือรถ EV กำลังมาแรง ในขณะเดียวกัน รถยนต์สันดาปหรือรถยนต์น้ำมัน ก็ยังคงเป็นทางเลือกหลักสำหรับผู้ขับขี่หลาย ๆ คน แต่ถ้าหากมองลึกลงไปแล้ว รถยนต์ทั้งสองประเภทต่างก็มีข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกันไป สำหรับใครที่อยู่ระหว่างการตัดสินใจว่าควรเลือกซื้อรถแบบไหนดี ลองมาเปรียบเทียบระหว่างรถไฟฟ้ากับรถน้ำมันกันสักนิด เพื่อให้รู้ว่ารถยนต์แต่ละแบบมีคุณสมบัติอย่างไร เพื่อค้นหารถยนต์ที่เหมาะกับวิถีชีวิตและการขับขี่ของคุณที่สุด

    รถยนต์ไฟฟ้า ขับเคลื่อนด้วยพลังงานสะอาดจากแบตเตอรี่

    รถยนต์ไฟฟ้า หรือรถยนต์ EV (Electric Vehicle) เป็นรถยนต์ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่เพื่อขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งแตกต่างจากรถยนต์สันดาปที่ใช้เครื่องยนต์น้ำมันหรือแก๊ส โดยระบบการทำงานของรถยนต์ประเภทนี้ ประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก ได้แก่

    • แบตเตอรี่ : แหล่งพลังงานหลักในการเก็บไฟฟ้า
    • อุปกรณ์แปลงกระแสไฟฟ้า : เปลี่ยนไฟฟ้ากระแสตรงจากแบตเตอรี่เป็นไฟฟ้ากระแสสลับที่สามารถใช้งานได้
    • มอเตอร์ไฟฟ้า : ขับเคลื่อนรถยนต์โดยไม่ใช้การเผาไหม้เหมือนเครื่องยนต์สันดาป

    เมื่อคุณเหยียบคันเร่ง มอเตอร์ไฟฟ้าจะได้รับพลังงานจากแบตเตอรี่และขับเคลื่อนล้อของรถไปข้างหน้าตามการบังคับของผู้ขับขี่ ซึ่งการขับขี่ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า จะให้ความเร็วและแรงบิดที่รวดเร็วทันใจ นอกจากนี้ ยังไม่มีเสียงเครื่องยนต์ดังรบกวนขณะขับขี่อีกด้วย

    ข้อดีของการใช้รถยนต์ไฟฟ้า

    สำหรับข้อดีรถไฟฟ้าที่ทำให้ผู้ใช้รถจำนวนมาก ตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้งานรถประเภทนี้แทนรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน มีดังนี้

    • ประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว เพราะการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ามีราคาถูกกว่าการเติมน้ำมัน และค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาก็ต่ำกว่า เนื่องจากมีชิ้นส่วนน้อยกว่าและไม่ต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องเป็นประจำ
    • เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เนื่องจากการขับขี่ไม่ปล่อยมลพิษจากท่อไอเสีย ทำให้ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และมลพิษทางอากาศได้เป็นอย่างดี
    • มอเตอร์ไฟฟ้ามีการตอบสนองที่รวดเร็วและไร้เสียงรบกวน ซึ่งช่วยให้การขับขี่สะดวกสบาย เงียบและนุ่มนวลยิ่งขึ้น 
    • รถยนต์ไฟฟ้าหลายรุ่นมาพร้อมกับฟีเจอร์อัจฉริยะและเทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น ระบบขับขี่อัตโนมัติ การเชื่อมต่อสมาร์ตโฟน การปรับตั้งค่าการขับขี่ผ่านแอปพลิเคชัน และระบบเซนเซอร์รักษาความปลอดภัย ช่วยเพิ่มความอุ่นใจในการใช้งาน

    ทั้งนี้ รถยนต์ไฟฟ้ามีข้อจำกัดในเรื่องระยะทางและการชาร์จที่ใช้เวลานาน รวมถึงสถานีชาร์จที่ยังมีให้บริการไม่ทั่วถึงในบางพื้นที่ จึงจำเป็นต้องวางแผนให้ดีทุกครั้งก่อนเดินทางไกล

    รถยนต์สันดาป (น้ำมัน) ขับเคลื่อนด้วยการเผาไหม้ของน้ำมัน

    รถยนต์สันดาป ขับเคลื่อนโดยใช้พลังงานจากการเผาไหม้ของน้ำมันเบนซินหรือดีเซลในเครื่องยนต์ ระบบการทำงานจะเริ่มจากการจ่ายน้ำมันไปยังเครื่องยนต์ ซึ่งจะถูกเผาไหม้เพื่อผลิตพลังงานในการหมุนล้อ แล้วการเผาไหม้จะทำให้เกิดพลังงานที่ส่งไปยังระบบขับเคลื่อน เพื่อทำให้รถเคลื่อนที่ไปข้างหน้า

    เครื่องยนต์ในรถยนต์สันดาปประกอบด้วยหลายส่วน เช่น แบตเตอรี่ หม้อน้ำ ลูกสูบ และระบบท่อไอเสีย ซึ่งทำให้มีการปล่อยก๊าซเสียออกมาในระหว่างการขับขี่ จึงส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมได้ในระยะยาว

    ข้อดีของการใช้รถยนต์น้ำมัน

    รถยนต์น้ำมันเป็นรถที่เราคุ้นเคยกันมานาน มาพร้อมข้อดีหลากหลายที่ยังครองใจผู้ใช้ได้เสมอ ได้แก่

    • มีสถานีบริการน้ำมันที่พร้อมให้บริการทั่วประเทศ ทำให้สามารถเติมน้ำมันได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว ไม่ต้องวางแผนมากนัก
    • รถน้ำมันสามารถเดินทางได้ไกลโดยไม่ต้องกังวลเรื่องการเติมน้ำมันบ่อยครั้ง จึงเหมาะสำหรับการเดินทางระยะไกล
    • รถยนต์น้ำมันมีให้เลือกหลากหลายรุ่นและราคาจากหลายค่ายรถยนต์ ตอบโจทย์ทุกงบประมาณ
    • ชิ้นส่วนเครื่องยนต์และอะไหล่หาซื้อได้ง่าย ช่วยลดปัญหาความไม่สะดวกในกรณีรถยนต์ต้องซ่อมบำรุง

    แม้จะเป็นรถที่อยู่คู่โลกมานาน แต่รถน้ำมันยังมีข้อเสียหลักในด้านมลพิษทางอากาศและค่าน้ำมันที่ผันผวน รวมทั้งมีเสียงและการสั่นสะเทือนจากเครื่องยนต์ ซึ่งอาจรบกวนผู้โดยสารและคนรอบข้างได้

    สรุปความแตกต่างระหว่างรถไฟฟ้า VS รถน้ำมัน

    เปรียบเทียบหมัดต่อหมัด รถยนต์ไฟฟ้า VS รถยนต์น้ำมัน แบบไหนตอบโจทย์กว่า ?

    ทั้งรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์น้ำมัน ต่างก็มีข้อดีที่แตกต่างกันตามการใช้งานและความสะดวกในการขับขี่ แล้วถ้าจะเปรียบเทียบรถน้ำมัน VS รถไฟฟ้า แบบไหนจะตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การขับขี่ของคุณมากกว่า เราสรุปประเด็นสำคัญที่ต้องเปรียบเทียบมาให้ครบทุกด้านแล้ว

    1. ประสิทธิภาพและสมรรถนะการขับขี่

    รถน้ำมันสามารถเร่งความเร็วได้ดีในสภาพถนนทั่วไป แต่ต้องใช้เวลาในการเร่งเครื่องยนต์และมีเสียงเครื่องยนต์ดังรบกวนการขับขี่ โดยเฉพาะในรถที่มีเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ ในขณะที่มอเตอร์ของรถไฟฟ้าสามารถให้แรงบิดสูงทันทีที่เหยียบคันเร่ง ทำให้การเร่งความเร็วทำได้อย่างนุ่มนวลและรวดเร็ว อีกทั้งเสียงการทำงานยังมีความเงียบและปราศจากการสั่นสะเทือนจากเครื่องยนต์

    2. ความยั่งยืนและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

    ข้อดีหลักของรถไฟฟ้า คือปล่อยมลพิษน้อยหรือแทบไม่มีเลย เพราะไม่ใช้การเผาไหม้เหมือนรถน้ำมัน ทำให้ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์และมลพิษทางอากาศที่ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อม ในทางกลับกัน รถน้ำมันมีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์และสารพิษจากท่อไอเสีย ทำให้มีผลกระทบต่ออากาศและสุขภาพของผู้คนในระยะยาว

    3. เทคโนโลยีและฟีเจอร์

    สำหรับรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ เทคโนโลยีด้านการขับขี่อัจฉริยะ, ความปลอดภัย, และฟีเจอร์ความบันเทิงในรถของรถไฟฟ้าและรถน้ำมันถือว่าค่อนข้างสูสีกัน เนื่องจากมีการพัฒนาอย่างรวดเร็วทั้งคู่ แต่รถไฟฟ้าจะได้เปรียบในเรื่องการใช้งานที่สั่งการผ่านแอปพลิเคชันได้สะดวก เพราะมีการติดตั้งชิปที่สามารถอัปเดต ซอฟต์แวร์ได้ต่อเนื่อง ทำให้การใช้งานรถไฟฟ้าไม่เพียงแต่สะดวกสบาย แต่ยังทันสมัยและยืดหยุ่นกว่าในหลายด้าน

    4. ความคุ้มค่าด้านค่าใช้จ่าย

    หากเปรียบเทียบราคารถไฟฟ้ากับรถน้ำมัน รถไฟฟ้ามักมีราคาซื้อที่สูงกว่า แต่ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายจากการเติมน้ำมันและการบำรุงรักษาในระยะยาว เพราะไม่มีการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องหรือการซ่อมแซมเครื่องยนต์ที่ซับซ้อน ส่วนรถน้ำมัน แม้จะซื้อได้ในราคาต่ำกว่า แต่มาพร้อมค่าน้ำมันที่ไม่คงที่และการบำรุงรักษาเครื่องยนต์ที่มีส่วนประกอบเยอะกว่า

    อนาคตของรถยนต์ไฟฟ้า รองรับการใช้งานทุกพื้นที่

    จากข้อเปรียบเทียบรถไฟฟ้า VS รถน้ำมัน สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่าทำไมรถยนต์ไฟฟ้าจึงได้รับความนิยมมากขึ้น แต่นอกจากจุดเด่นที่ระบบการทำงานแล้ว รถยนต์ไฟฟ้ายังมีอนาคตที่สดใสทั้งในประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก

    การพัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้า

    เทคโนโลยีของรถไฟฟ้าได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงแบตเตอรี่ที่หลายคนมองว่าเป็นข้อเสียของรถยนต์ไฟฟ้า ก็ถูกพัฒนาให้มีความจุและประสิทธิภาพมากขึ้นเช่นเดียวกัน ทำให้รถไฟฟ้าสามารถเดินทางได้ไกลขึ้นในระยะเวลาชาร์จที่สั้นลง พร้อมทั้งการพัฒนาระบบขับขี่อัจฉริยะ (Autonomous Driving) ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกและความปลอดภัยในการขับขี่ด้วย

    การส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดจากภาครัฐ

    รัฐบาลไทยมีการออกมาตรการส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด เช่น การลดภาษีศุลกากรสำหรับการนำเข้ารถไฟฟ้า ส่งผลให้รถไฟฟ้ามีราคาถูกลง และการสนับสนุนโครงการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้พลังงานสะอาด เพื่อให้รถไฟฟ้าเป็นทางเลือกหลักในการลดการปล่อยมลพิษและส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน ซึ่งจะส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

    การขยายตัวของจุดชาร์จ เพิ่มความสะดวกให้ผู้ใช้งาน

    สุดท้าย คือการขยายโครงสร้างพื้นฐานของสถานีชาร์จทั่วประเทศ ซึ่งในปัจจุบันประเทศไทยกำลังเร่งขยายจำนวนสถานีชาร์จไฟฟ้า ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เพื่อรองรับความต้องการของผู้ใช้รถไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น ช่วยลดภาระการวางแผนการเดินทางได้เป็นอย่างดี

    หากคุณกำลังพิจารณาการเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้าคันใหม่ และต้องการประสบการณ์ขับขี่ที่เหนือกว่า พร้อมการดูแลหลังการขายที่ครบวงจร ZEEKR METRO พร้อมเสนอโซลูชันที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของคุณ

    เรามี ZEEKR X และ ZEEKR 009 ให้เลือกเป็นเจ้าของครบทุกสี เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการขับขี่รถยนต์ไฟฟ้าสุดล้ำ ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ระบบขับเคลื่อน AWD ที่ให้ความสะดวกสบายและความปลอดภัยในการขับขี่ พร้อมการรับประกันที่ครบวงจรจากทีมช่างผู้เชี่ยวชาญของ ZEEKR METRO สามารถทดลองขับจริงได้ที่โชว์รูม ZEEKR METRO บางนา หรือรับบริการทดลองขับฟรีถึงบ้านได้แล้ววันนี้ นัดหมายเพื่อทดลองขับและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เบอร์ 02-012-3999 หรือ LINE Official: @zeekrmetro

    ข้อมูลอ้างอิง

    1. Electric vs. Gas Cars: Is It Cheaper to Drive an EV?. สืบค้นเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2568 จาก https://www.nrdc.org/stories/electric-vs-gas-cars-it-cheaper-drive-ev 
    2. Electric Cars vs. Gas Cars: What’s the Difference?. สืบค้นเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2568 จาก https://www.constellation.com/energy-101/energy-innovation/electric-cars-vs-gas-cars.html
  • สำรวจความแตกต่างระหว่างแบตเตอรี่ NMC กับ LFP

    สำรวจความแตกต่างระหว่างแบตเตอรี่ NMC กับ LFP

    NMC คืออะไร ?

    แบตเตอรี่ NMC คือประเภทของแบตเตอรี่ซึ่งใช้ลิเธียมออกไซด์ที่มีส่วนผสมของนิกเกิล (Nickel), แมงกานีส (Manganese), และโคบอลต์ (Cobalt) เป็นส่วนประกอบหลักของแคโทด (Cathode) โดยสัดส่วนของธาตุทั้งสามนี้สามารถปรับเปลี่ยนได้เพื่อเน้นคุณสมบัติที่แตกต่างกันไป เช่น NMC 111 (NMC333), NMC 532, NMC 622, NMC 811 เป็นต้น โดยยิ่งมีสัดส่วนของนิกเกิลสูงเท่าไร ก็จะยิ่งมีความหนาแน่นของพลังงาน (Energy Density) สูงขึ้นเท่านั้น ทำให้สามารถเก็บประจุไฟฟ้าได้มากขึ้นในขนาดและน้ำหนักที่เท่ากัน

    ข้อดีของแบตเตอรี่ NMC

    1. ความหนาแน่นพลังงานสูง : นี่คือจุดเด่นที่สำคัญที่สุดของ NMC ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่ชนิดนี้สามารถวิ่งได้ระยะทางไกลกว่าแบตเตอรี่ LFP ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง (Longer Range) โดยใช้แบตเตอรี่แพ็กที่มีขนาดและน้ำหนักเท่ากันหรือน้อยกว่า เป็นเหตุผลให้รถ EV พรีเมียมและรถที่มีสมรรถนะสูงมักเลือกใช้แบตเตอรีในแบบ NMC
    2. ประสิทธิภาพในอุณหภูมิต่ำ : NMC มีประสิทธิภาพในการคายประจุและชาร์จประจุได้ดีกว่าในสภาพอากาศที่หนาวเย็น ตอบโจทย์สำหรับการใช้งานในเมืองหนาว
    3. การจ่ายพลังงานสูง : สามารถจ่ายกระแสไฟได้สูง ทำให้เหมาะสำหรับการเร่งความเร็วที่ฉับไวและสมรรถนะการขับขี่แบบสปอร์ต

    ข้อจำกัดของแบตเตอรี่ NMC

    1. ต้นทุนสูง : การใช้วัตถุดิบอย่างโคบอลต์ซึ่งเป็นโลหะหายากและมีราคาแพง ทำให้ต้นทุนการผลิตแบตเตอรี่ NMC สูงกว่าแบบ LFP อย่างมีนัยสำคัญ
    2. ความปลอดภัยด้านความร้อน : แม้จะมีการพัฒนาระบบจัดการความร้อนและเทคโนโลยีความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง แต่โดยธรรมชาติแล้ว NMC มีความเสี่ยงต่อการเกิด Thermal Runaway (การลุกลามความร้อนอย่างควบคุมไม่ได้) สูงกว่าแบตเตอรี่ LFP เมื่อเกิดความเสียหายรุนแรงหรือมีการชาร์จไฟเกินอย่างมาก
    3. อายุการใช้งาน (Cycle Life) : โดยทั่วไปแล้ว อายุการใช้งานเป็นรอบการชาร์จ-คายประจุ (Cycle Life) ของ NMC จะน้อยกว่า LFP เล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ด้วยเทคโนโลยีการจัดการแบตเตอรี่ (BMS) ที่ดีขึ้น ทำให้อายุการใช้งานของ NMC ในรถ EV ยุคใหม่สามารถใช้งานได้ยาวนานถึง 8-10 ปี หรือ 150,000-200,000 กิโลเมตรได้อย่างสบาย

    LFP คืออะไร ?

    ในขณะที่แบตเตอรี่ LFP คือแบตเตอรี่ที่ใช้ลิเธียมเหล็กฟอสเฟตเป็นวัสดุแคโทด ซึ่งโดดเด่นในเรื่องของความเสถียรทางเคมีและความปลอดภัยสูง ถึงแม้จะมีความหนาแน่นของพลังงานที่ต่ำกว่า NMC แต่ แบตเตอรี่ LFP ก็มีข้อดีเด่นชัดในด้านอื่น ๆ ที่ทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าในกลุ่มตลาดที่เน้นความคุ้มค่าและทนทาน

    ข้อดีของแบตเตอรี่ LFP

    1. ความปลอดภัยสูง : คุณสมบัติที่โดดเด่นที่สุดของแบตเตอรี่ LFP คือการที่โครงสร้างทางเคมีของลิเธียมเหล็กฟอสเฟตมีความเสถียรสูงมาก ทนทานต่อการเกิด Thermal Runaway แม้ในสภาวะที่รุนแรง เช่น การเจาะทะลุหรือการชาร์จไฟเกิน ทำให้เป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยกว่าในกรณีเกิดอุบัติเหตุ
    2. อายุการใช้งานยาวนาน : แบตเตอรี่ LFP สามารถรองรับการชาร์จและคายประจุได้จำนวนรอบที่มากกว่า NMC อย่างเห็นได้ชัด บางผู้ผลิตเคลมว่าสามารถใช้งานได้ถึง 3,000-5,000 รอบ หรือมากกว่านั้น นั่นหมายความว่าแบตเตอรี่ LFP มีศักยภาพที่จะใช้งานได้ยาวนานกว่าและทนทานกว่าสำหรับการใช้งานในระยะยาว
    3. ต้นทุนต่ำกว่า : การใช้วัสดุที่หาง่ายและมีราคาถูกกว่าอย่างเหล็กและฟอสเฟต แทนที่จะเป็นโคบอลต์หรือนิกเกิลที่ราคาสูง ทำให้ต้นทุนการผลิตแบตเตอรี่ LFP ต่ำกว่า NMC อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อราคาจำหน่ายรถ EV ที่เป็นมิตรมากขึ้น
    4. เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (More Environmentally Friendly): ไม่มีการใช้โลหะหนักอย่างโคบอลต์หรือนิกเกิลในปริมาณมาก ทำให้กระบวนการผลิตและรีไซเคิลมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยลง

    ข้อจำกัดของแบตเตอรี่ LFP

    1. ความหนาแน่นของพลังงานต่ำกว่า : ข้อเสียเปรียบหลักของ LFP ที่ทำให้ NMC เหนือกว่าอยู่ที่ แม้ว่าแบตเตอรี่แพ็ก LFP จะมีขนาดและน้ำหนักเท่ากันกับ NMC แต่ก็จะให้ระยะทางขับขี่ที่น้อยกว่า สิ่งนี้หมายความว่ารถ EV ที่ต้องการระยะทางไกลมาก ๆ อาจต้องใช้แบตเตอรี่แพ็ก LFP ขนาดใหญ่และหนักขึ้น
    2. ประสิทธิภาพในอุณหภูมิต่ำ : ในสภาพอากาศที่หนาวจัด ประสิทธิภาพการคายประจุและการชาร์จประจุของแบตเตอรี่ LFP จะลดลงค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับ NMC ซึ่งอาจส่งผลต่อระยะทางขับขี่และการชาร์จไฟที่ช้าลงในสภาพอากาศหนาวจัด
    3. ความไวต่ออุณหภูมิ : แม้จะปลอดภัย แต่ LFP มีประสิทธิภาพสูงสุดในช่วงอุณหภูมิที่ค่อนข้างจำกัด การทำงานนอกช่วงอุณหภูมิที่เหมาะสมอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพและอายุการใช้งานในระยะยาว (แต่ด้วยระบบจัดการความร้อนของแบตเตอรี่ในรถ EV ยุคใหม่ ปัญหานี้จึงลดลงเรื่อย ๆ )

    เปรียบเทียบ NMC vs LFP แบบชัด ๆ

    เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้นว่าแบตเตอรี่ NMC กับ LFP ต่างกันอย่างไร นี่คือตารางเปรียบเทียบคุณสมบัติของแบตเตอรี่ทั้งสองแบบ

    คุณสมบัติNMC (Nickel Manganese Cobalt)LFP (Lithium Iron Phosphate)
    ความหนาแน่นพลังงานสูงปานกลาง
    ระยะทางที่วิ่งได้ไกลสั้นกว่าในขนาดเท่ากัน
    ความปลอดภัยปลอดภัยน้อยกว่า (ต้องมีระบบควบคุม)สูง (ไม่ติดไฟง่าย)
    อายุการใช้งาน (รอบชาร์จ)1,000–2,000 รอบ2,000–4,000 รอบ
    ความทนต่ออุณหภูมิสูงต่ำกว่าสูงมาก
    ต้นทุนการผลิตสูงกว่าต่ำกว่า
    การเสื่อมสภาพตามเวลาเร็วกว่าช้ากว่า
    การใช้งานที่เหมาะสมรถทางไกล / รถสปอร์ตรถในเมือง / รถใช้งานประจำวัน
    แบตเตอรี่ LFP กำลังอยู่ในสายพานการผลิต

    แล้วควรเลือกแบบไหนดี ?

    คำตอบขึ้นอยู่กับ “การใช้งานจริงของคุณ”

    โดยหากคุณใช้รถเพื่อขับในเมืองเป็นหลัก เดินทางระยะสั้นไปกลับที่ทำงานวันละ 50–100 กิโลเมตร ชาร์จรถเป็นกิจวัตร และต้องการความสะดวกในการดูแลรักษา การเลือกรถ EV ที่ใช้แบตเตอรี่ LFP คือคำตอบที่คุ้มค่ากว่า เนื่องจากแบตเตอรี่เสื่อมช้า ชาร์จเต็มได้ทุกวัน และราคาต่อกิโลวัตต์ชั่วโมงถูกกว่า

    ข้อมลูแบบย่อว่าแบตเตอรี่ NMC กับ LFP ต่างกันอย่างไร

    ในทางกลับกัน ถ้าคุณเดินทางไกลบ่อย ชอบขับรถเร็ว หรืออยากได้ระยะทางต่อการชาร์จที่มากขึ้นโดยไม่ต้องเพิ่มความจุแบตเตอรี่ให้หนักรถเกินไปแบตเตอรี่ NMC คือตัวเลือกที่ตอบโจทย์ได้ดีกว่า ด้วยความหนาแน่นพลังงานที่สูงและอัตราการตอบสนองที่เร็วกว่า เหมาะกับผู้ใช้ที่เน้นสมรรถนะหรือใช้รถเดินทางไกลเป็นประจำ

    เมื่อรู้แล้วว่าแบตเตอรี่ NMC กับ LFP ต่างกันอย่างไร ดังนั้น การเลือกประเภทของรถยนต์ไฟฟ้าให้ตรงกับการใช้งานก็เป็นอีกขั้นตอนสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะรถ EV แต่ละรุ่นไม่เพียงแต่ใช้แบตเตอรี่ที่ต่างกัน แต่ยังออกแบบมาเพื่อรองรับพฤติกรรมการขับขี่ที่หลากหลาย ทั้งในเมือง ทางไกล หรือแม้แต่สายครอบครัว โดยหากคุณกำลังมองหารถยนต์ไฟฟ้าคันที่ใช่ ZEEKR METRO ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า ZEEKR อย่างเป็นทางการพร้อมนำเสนอ ZEEKR X และ ZEEKR 009 รถยนต์ไฟฟ้าสองรุ่นที่พร้อมตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การขับขี่ที่แตกต่าง บริการครบจบทุกเรื่องรถยนต์ไฟฟ้า ZEEKR ทั้งโชว์รูม ศูนย์บริการ อู่สี และอู่ซ่อมบำรุง มีรถพร้อมส่งครบทุกสี พร้อมบริการหลังการขายเหนือชั้นโดยทีมงานและช่างผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้การขับขี่รถไฟฟ้า ZEEKR ของคุณเป็นไปอย่างราบรื่นในทุกเส้นทาง นัดหมายเพื่อทดลองขับได้แล้ววันนี้ ที่เบอร์ 02-012-3999 หรือ LINE Official: @zeekrmetro

    ข้อมูลอ้างอิงแบตเตอรี่รถ EV ระหว่าง NMC และ LFP ต่างกันอย่างไร?. สืบค้นเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2568 จาก https://www.beartai.com/cars/car-news/1380503

Social IconSocial IconSocial IconSocial Icon